กาลครั้งหนึ่ง ในสมัยที่คนไทยยังอ่านนวนิยายรายสัปดาห์
นิตยสารเจ้าดังหนึ่งเดียว ซึ่งอุดมไปด้วยนักเขียนนิยายหลากหลาย ได้รับความนิยม ยอดขายกระจายไปทั่วประเทศ
แต่ละสัปดาห์เหล่าบรรดานักอ่านต่างเฝ้ารอคอย จะได้ลิ้มชิมรสชาติอันเหล่าตัวละครแสดงลีลาบนหน้ากระดาษ
เป็นความบันเทิงซึ่งติดกันงอมแงม
ทางผู้ผลิตและบรรณาธิการ ต่างก็สรรหาเรื่องราวหลากรสชาติ และนักเขียนมากฝีมือ ระดมกันมา สร้างสรรค์ต่อเนื่อง จนกระทั่งมีแฟนๆ ติดตามทั่วไทย
นิตยสารเมื่อขายดิบขายดี ยิ่งคนอ่านติดตาม ซื้ออ่านและเฝ้ารอ ต่อเนื่อง
ย่อมนำทรัพย์สินคืนกลับไปยังสำนักพิมพ์
เป็นวงจรธุรกิจอันน่าอิจฉา
และก็คงเช่นเดียวกับธุรกิจนานาชนิด เมื่อมีคนทำสำเร็จย่อมมีคนอยากทำตาม
จึงมีคู่แข่งประกาศตัวขึ้นมา ราวจะท้าทายยุทธจักรนวนิยายรายสัปดาห์
ผู้คนลุ้นระทึก
เพราะนิตยสารเจ้าใหม่ ประกาศว่าสามารถรวบรวมระดมสุดยอดนักเขียนทั้งลายคราม และดาวรุ่งมาอยู่รวมกันอย่างน่าอัศจรรย์
จากการประชาสัมพันธ์บอกได้เลยว่า นวนิยายซึ่งจะนำมาเสนอนั้น ล้วนแล้วแต่เข้มข้น ยั่วยวนสายตานักอ่านยิ่งนัก
นักอ่านต่างเฝ้าคอย วันที่นิตยสารนั้นวางจำหน่ายก็มาถึง
เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนวงการ
ใครจะนึกว่า นิตยสารเจ้าเก่าจะถูกเบียดจนแผงสะเทือน
จะด้วยราคาไม่แพงนัก และนักเขียนหลากหลาย นิยายหลากสีสัน ผู้คนต่างใคร่ลิ้มชิมรส
ส่งผลต่อยอดขายของนิตยสารเจ้าใหม่
แม้จะยังไม่มากเท่าเจ้าเก่า แต่ก็มาแรง อย่างน่าหวั่นไหว
ความหวาดเสียว สนุกสนาน เกิดทั้งในกระดาษและบนวงจรธุรกิจ ชวนติดตามยิ่งนัก
เมื่อฉบับปฐมฤกษ์ขายดีส่งผลต่อความฮึกเหิมของสำนักพิมพ์ใหม่ หมายมั่นจะกลายมาเป็นหนังสือนวนิยายรายสัปดาห์ซึ่ง ขายดิบ ขายดี
ส่วนผู้อ่านเมื่อได้เริ่มต้นอ่านตอนเริ่มเรื่องของนวนิยายก็กระหายอยากจะได้อ่านตอนต่อไป
อยากให้รีบและเร่งผลิตเล่มสอง เพื่อส่งลงแผงในสัปดาห์ถัดไป
เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ ทางเอเย่นต์จัดจำหน่ายแจ้งกลับมาว่า ยอดขายเล่มสองมาแรง ขายดีไม่มีเหลือเลยสักเล่ม
โอ้วแม่จ้าว ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
แต่ทว่าคนอ่านซึ่งรออยู่ เหมือนจะลงแดงเพราะหาซื้อหนังสืออ่านไม่ได้ คล้ายกลับมีคนมาเหมาไปจนหมดแผง
ทำไมมาแรงเช่นนี้ ผู้คนต่างฮือฮา เพราะว่านิตยสารที่ว่าขายดี แต่กลับไม่มีบนแผง
………
จนสัปดาห์ที่สาม น่าจะเป็นเวลาซึ่งนิตยสารเดินทางมา ผู้คนต่างคิดว่า คงชะล่าใจไม่ได้เสียแล้ว เพราะหากช้าอาจจะซื้อยากหรือหมดเสียก่อน
……..
บนขบวนรถไฟในยามค่ำคืน
ขบวนซึ่งมีการขนส่งนิตยสารจำนวนมาก เพื่อทยอยไปวางจำหน่ายทั่วประเทศนั้น
นิตยสารซึ่งกำลังถูกขนส่งไปยังจุดหมาย ถูกถีบลงจากขบวนรถไฟ หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวนิยายลึกลับในเล่มนิตยสาร
ทางสำนักพิมพ์ ได้รับเงินจากยอดขายนิตยสารฉบับที่หนึ่งตามยอดจริงซึ่งหน้าร้านขายได้ ส่วนฉบับที่สองนั้นยิ่งขายดี เหมือนมีคนมาเหมา
คล้ายจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ทว่าคนไม่ค่อยได้อ่าน
ยิ่งฉบับที่สาม ยังไม่รู้ว่าหนังสือที่ส่งไปนั้นหายไปไหน รู้แต่ว่าไม่มีไปไม่ถึงตลาดเลยสักเล่ม
เมื่อนิตยสารไปไม่ถึงแผง
ผู้อ่านหาซื้อเพื่ออ่านนวนิยายต่อจากเรื่องตอนต้นไม่ได้…
ลองนึกถึงผู้อ่านนิยายที่ได้อ่านตอนแรก ตอนเดียว เว้นตอนสอง กับตอนสาม จะมีสักกี่คนอยากอ่านตอนที่สี่ เมื่อสำนักพิมพ์ผลิตฉบับที่สี่ที่ห้าออกมาและวางขายบนแผงตามปกติ
ก็อย่าหมายว่าใครอยากจะติดตาม เพราะมันได้ขาดตอนไปเสียแล้ว
เมื่อนักอ่านไม่สามารถ ต่อเชื่อมตัวละครซึ่งนักเขียนเรียงร้อยเรื่องราวเอาไว้
ในขณะที่เล่มสองเล่มสามคล้ายจะขายดี แต่ไม่มีใครได้อ่าน
นิตยสารฉบับที่สี่ที่ห้าจึงเหลือจากการจำหน่าย ต้องขนกลับไปคืนสำนักพิมพ์มากมาย
นิตยสารนิยายเจ้าใหม่ จึงเจ๊งไปไวเกินคาด
เลิกล้มกิจการไปด้วยอาการบาดเจ็บปางตาย
จากวิชามาร
เป็นการทำลายฝ่ายตรงข้าม ซื้อไปเผา๒ ๓ตอนคนอ่านก็เลิกติดตามงัย
05 ก.ค. 2562 เวลา 06.15 น.
บางครั้งในการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะดูว่าเป็นสิ่งที่ทำให้น่าสนใจได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากว่ามันมีความหลากหลายความคิดมากจนเกินไป ก็อาจทำให้ขาดในความมั่นใจกับในการติดตามได้เหมือนกันนะครับ.
03 ก.ค. 2562 เวลา 11.48 น.
Due Arut ยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าวิชามารที่ว่าคืออะไร
1. สำนักพิมพ์ใหม่ หวังสร้างกระแสว่าขายดีจนขาดตลาด จึงลงหนังสือตามแผงน้อยๆ
หรือ
2. สำนักพิมพ์แรก ใช้วิชามารเหมาหนังสือของคู่แข่งรายใหม่ ออกจากแผง จนขาดตลาดทำให้ คนอ่าน อ่านไม่ต่่่่่อเนื่อง จนเลิกติดตามและเลิกซื้อ
03 ก.ค. 2562 เวลา 11.29 น.
KOH✨🄺🄾🄷 นี่คือที่มาของคำว่าฆ่าตัดตอนครับ 😭
03 ก.ค. 2562 เวลา 11.25 น.
จิมมี่แบร์ อารีไอซ์ ทำไมไม่หาสาเหตุที่แน่ชัดแล้วพิมพ์ตอน 2,3 รวมเล่มเลย ลองอีกสักตั้งงัย
31 ส.ค. 2562 เวลา 13.08 น.
ดูทั้งหมด