เป็นอีกหนี่งสาวที่ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องของความรัก ครอบครัว และการงาน สำหรับ พลอย ชิดจันทร์ เมื่อได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ CLUB FIRDAY SHOW เจ้าตัวก็ได้เล่าเรื่องราวที่ทุกมุมของชีวิตที่ทุกคิดว่าสวยงาม แต่กว่าที่จะเรียบและเดินสะดวกแบบนี้ จริงๆ แล้วก็ผ่านอุปสรรคมาไม่น้อย
ถาม ชีวิตสวยงามในวันนี้ ถ้าย้อนกลับไป พลอยก็มีจุดเปลี่ยนอยู่หลายรอบเหมือนกัน เห็นว่าตอนเด็กๆ อยากเป็นหมอ
พลอย ชิดจันทร์ : ใช่ค่ะ เพราะว่าเราตั้งใจเรียนสายวิทย์เพื่อที่จะเป็นหมอ แล้วพอพลอยได้มีโอกาสมาประกวดดัชชี่ ที่มาประกวดได้เพราะว่าพลอยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตั้งแต่อนุบาล ถูกทางโรงเรียนจับให้เป็นทุกปี ซึ่งตอนที่เราเป็นลีดอยู่ในงานก็มีพี่ที่เป็นแมวมองโมเดลลิงดังที่เชียงใหม่ ชื่อพี่กานต์ เขาก็มาดูเด็กๆ แหละว่าเด็กคนไหนมีแววบ้าง เริ่มแรกก็มีงานเดินแบบ ถ่ายแบบที่เชียงใหม่ แล้วพี่เขาก็ส่งเราเข้าประกวด ซึ่งพี่เขาก็เป็นคนจัดการให้เราทุกอย่าง ซึ่งเรามารับรู้อีกทีคือเราเข้ารอบแล้ว เราเลยต้องไปคัดเลือกสำหรับภาคเหนือ ถามว่าสิ่งนี้เคยอยู่ในความฝันของพลอยไหม คือแรกๆ เรามาทางสายเชียร์ลีดเดอร์มากกว่า แต่ว่าเหมือนมันพาไปมากกว่า แต่ พลอยเป็นคนที่ชอบดูละครนะคะ ตอนเด็กๆ ดูละครกับย่า
ถาม แล้วที่บ้านสนับสนุนในการทำงานด้านนี้หรือเปล่า
พลอย ชิดจันทร์ : คุณแม่ก็ซัพพอร์ตนะคะ มารับมาส่ง แล้วเขาก็มาลุ้นกับเราด้วย ตอนนั้นเราเด็กที่สุดด้วย พอได้ตำแหน่ง พลอย ก็ได้ไปแคสติงในที่ต่างๆ แล้วก็ได้เข้ามาในวงการแสดง ช่อง 3 ก็เลือกเราให้มาเซ็นสัญญาทำงานด้วย เราก็เริ่มมีละคร มีงานต่อเนื่อง มันก็เอ็นจอยสนุกกับการทำงาน และด้วยความที่เราไม่ได้เรียนอะไรเกี่ยวกับการแสดงหรืออะไรมาเลย เราเลยรู้สึกว่าเราอยากจะเรียนเสริมทางนี้ ก็เลยเบนเข็มจากหมอ ไปสอบที่มศว คณะศิลปกรรมการแสดงและกำกับการแสดง แล้วก็สอบได้ที่หนึ่งเลย แรกที่เราเล่นละครก็จะมาแบบสาวหวาน แล้วพอมาเล่นร้ายเรื่องปี่แก้วนางหงส์ เป็นสาภีในยุคอดีตค่ะ เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่พลอยกลับสนุกมากๆ แล้วพอออกมา หลายๆ คนก็ยังพูดถึง
ถาม เห็นว่าเรื่องนั้นบูมจน เรน เลือกให้เป็นนักแสดงอีกคน ไปแสดงโฆษณาด้วย เป็นนางเอกเลย ซึ่งเขาก็เลือกพลอยเองด้วย
พลอย ชิดจันทร์ : เขาก็บอกว่าเขาก็ส่งไปหลายคน แล้วให้ทางนู้นเลือกมา ซึ่งตอนนั้นเรนเขาก็ดังมาก เราก็ดีใจก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ตื่นเต้นเหมือนกัน แล้วเราก็เป็นแฟนคลับของเขาอยู่แล้ว ดู Full House ที่เขาแสดงก็ชอบมากดีใจ จากตอนนั้นถึงตอนนี้ 13 ปีแล้วค่ะ สำหรับโฆษณาตัวนั้น นับว่าเป็นโอกาสที่ดีของเราอีกชิ้น
ถาม ในชีวิตพลอยก่อนที่จะมาเจอคุณเคน เคยอกหักไหม
พลอย ชิดจันทร์ : ไม่เคยเลยค่ะ (ยิ้มๆ)
ถาม แต่เมื่อได้มาเจอคุณเคน ก็มีโจทย์ มีปัญหาอยู่ไม่น้อย เจอกันได้ยังไง
พลอย ชิดจันทร์ : เจอกันครั้งแรกที่บ้านย่าของพลอย เพราะว่าพี่เคนเขามากับคุณอา เขาเป็นลูกหุ้นส่วนของคุณอา ก็มาร่วมงานปีใหม่ของที่บ้าน เพราะตอนนั้นเราก็ทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วเราก็บินกลับไปงานที่บ้าน เราก็ได้ไปเจอเขาวันนั้นครั้งแรกที่งาน ตอนที่เจอเขาครั้งแรกก็ไม่ได้ปิ้งอะไรขนาดนั้น แต่ว่าพอมาคิดย้อนหลังถึงทุกวันนี้แบบ.. มันก็มีอะไรนิดๆ ความจริงมันก็รู้สึกพิเศษนิดหนึ่งแต่วันนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น เขาเป็นคนฮ่องกง-จีน ส่วนมากที่เราคุยกับเขาเลยเป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวเลย เพราะตอนนั้นเขาก็ยังไม่ค่อยได้ภาษาไทย ตอนนั้นที่เจอเขา พลอยก็ถ่ายหนังแล้ว ก็เล่นละครเรื่องแรกเลยค่ะ
ถาม เจอกันครั้งแรกก็รู้สึกพิเศษเหมือนกัน แล้วความรู้สึกพิเศษนั้นคืออะไร
พลอย ชิดจันทร์ : ถ้าพูดตอนนี้ พลอยว่าตอนนี้รู้ตัวว่าเราน่าจะเป็นคนชอบคนตี๋ๆ เพราะเราชอบหนุ่มลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนปัญหาที่ได้เจอก็คือระยะทาง แบบมันจะยากหรือเปล่าสำหรับความสัมพันธ์ที่มันห่างแบบนี้ แต่ตรงนั้นที่เราเขว ไม่ใช่ประเด็นหลักๆมากกว่ามันเป็นเพียงองค์ประกอบโดยรวมๆ เพราะที่บ้านเรา ที่บ้านเขาก็ดูจะเป็นไปได้ยากค่ะ
ถาม แปลว่าครอบครัวเราไม่ค่อยถูกใจคนนี้ และครอบครัวเขาก็ดูเหมือนกับไม่ถูกใจเราเหรอ
พลอย ชิดจันทร์ : เพราะด้วยความที่เราพูดภาษาจีนไม่ได้ และไม่ได้เจอคุณพ่อคุณแม่ของเขาด้วย เพราะว่าคุณพ่อเขาไปมาๆ แต่คุณแม่เขาอยู่ฮ่องกงตลอด แล้วคุณอาก็มาบอกคุณแม่ของเราบ้างแหละว่าตอนนี้คุณพ่อของเขาก็อยากให้เขาแต่งงานแล้วนะ แล้วเหมือนธรรมเนียมที่บ้านเขาจะมีการแบบหาคนที่เหมาะสมคู่ควรให้กัน พี่เคนเขาก็ไม่ได้ทำให้พลอยรู้สึกว่าเขาฟังตามนั้น หรือเขาจะทำแบบนั้น เพราะอันนี้ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ใจเยอะเหมือนกัน มันก็มีอุปสรรคปัญหาอะไรเยอะ ที่บ้านเขาอยากให้เขาแต่งงาน เหมือนพาเขาไปดูตัว แล้วเขาก็จะมีสินสอดที่เว่อร์วังมาก สำหรับคนจีนคือถ้าแต่งงานกัน ผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายให้เพราะเหมือนเขาออกมาจากบ้านเขา เขาก็จะให้เงินก้อนหนึ่งติดตัวมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งที่คุณอามาบอกคุณพ่อคือสินสอดที่เขานำมาคือร้อยกว่าล้าน พอแม่เราได้ยินท่านก็คิดว่าเราคงไม่ใช่อนาคตของลูกเขา แม่เราก็จะบอกเราว่าโอเคเรื่องรักกัน เรื่องอะไรเขาเข้าใจ แต่ก็ต้องดูทุกอย่างด้วย แต่พี่เคนเขาก็ปฏิเสธพ่อเขา เขาก็ดื้อ เขาก็บอกไม่เอา ไม่เอาจริงๆ ทางพ่อเขาก็อยากให้เป็นอย่างที่เขาเตรียมไว้ ส่วนแม่เราก็ไม่อยากให้เราเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทะเลาะกับพ่อ เราก็พิจารณาตัวเองหรือเราต้องถอยออกมาด้วยไหม
ถาม ย้อนกลับไปตอนนั้นที่พ่อเขาก็บินไปบินมา แล้วตัวเขาก็บินไปบินมา แล้วเขาเคยพาเราไปเจอพ่อเขาบ้างไหม
พลอย ชิดจันทร์ : ไม่เลย ไม่เคยเจอเลย แต่เคยเจอแบบผ่านๆ สมมติว่าพ่อเขามาคุยกับคุณอา ก็เห็นแบบผ่านๆ แต่ไม่เคยมานั่งคุย กินข้าวหรือเจอกัน ไม่เคยเลยค่ะ เพราะเราคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง
ถาม แล้วเขารู้ไหมว่าเราเป็นแฟนลูกชายเขา
พลอย ชิดจันทร์ : ทราบค่ะ แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเขาต้องเหม็นเราแน่เลย เพราะว่าเราทำให้ลูกเขาไม่ทำตามที่เขาอยากได้
ถาม แต่ทางคุณพ่อคุณแม่ของพลอย บอกว่าให้หยุด หรือแปลสั้นๆ ออกมาคือให้เลิกกัน แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งคือคุณเคนคุกเข่าขอคุณแม่พลอยด้วยตัวเอง ขอคบลูกสาวต่อ
พลอย ชิดจันทร์ : ตอนนั้นเราก็ทำตามที่พ่อแม่เราขอ เราก็เลิก เราก็หายไปจากเขา ก็ไม่ตอบอะไรเขาเลย เขาโทรศัพท์มา เราก็ไม่รับ เราหายไปอาทิตย์หนึ่ง แล้วประกอบกับตอนนั้นเราไปเที่ยวทะเลกับแม่ อยู่เกาะด้วยแหละค่ะ เราก็ปิดเครื่องเงียบหายไปเลย แต่ก่อนหน้านั้นเราก็คุยกับเขาแล้วว่ามันยาก แล้วอีกอย่างเขาก็มีแผนของเขา ของที่บ้านเขา เขาก็ควรที่แบบต้องทำให้สิ่งที่มันเป็นหน้าที่ของเขา เราก็มีหน้าที่ของเรา จะให้เราแต่งงานตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่ดี มันดูขัดแย้งกันไปหมด แล้วเหมือนเขาคงอยู่ไม่ได้ตอนนั้นเขาอยู่เชียงใหม่ เขาก็ขับรถมาเลย แบบไม่จอด ไม่พักเลย ขับมาอย่างเดียว เขาก็มาหาตอนที่พลอยอยู่กับแม่ เขาก็มา แล้วเขาก็ร้องไห้ ซึ่งครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่เห็นพี่เคนร้องไห้ขนาดนั้น เพราะตั้งแต่ที่อยู่กันมาจนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่เคยเห็นเขามีน้ำตาเลย เป็นน้ำตาลูกผู้ชายจริงๆ ที่เขาร้องไห้แล้วเขาก็คุกเข่าบอกแม่เราว่าขอคุยกับพลอยหน่อยได้ไหม เพราะเขารู้ว่าแม่ของเราห้าม ตอนนั้นแม่ก็ให้คุยกัน
พลอย ชิดจันทร์ : พอได้คบกันก็มาถึงวันที่เขาไม่ได้แล้ว เขาต้องแต่งงานแล้ว ตอนแรกเราอยากให้อีก 2 ปีค่อยแต่ง เพราะว่าเราอยากเรียนให้จบ หน้าที่ที่แม่เราอยากให้เราทำให้สำเร็จ เราก็ต้องทำไม่ทิ้งเรื่องเรียน เรื่องงาน คือจริงๆ มันก็หน้าที่ของเราด้วยแหละที่เราก็ทิ้งไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะทางพ่อเขา เราก็เข้าใจเขามากจริงๆ ว่าเขาโดนเยอะ แล้วช่วงนั้นคุณย่าของเขาก็ป่วย เขาอยากให้มีงานมงคลก่อนที่คุณย่าจะป่วยมากกว่านี้
ถาม ที่พ่อเขาเร่งก็แปลว่าตอนนั้นพ่อของคุณเคน เขาก็โอเคกับเราแล้วหรือเปล่า
พลอย ชิดจันทร์ : เหมือนพ่อเขาก็ก้ำๆ กึ่งๆ พลอยว่าไม่เชิงโอเคแต่ว่าบังคับไม่ได้แล้ว เพราะว่าพี่เคนก็ไม่จริงๆ เพราะเวลาที่พี่เคน ดื้อ เขาจะไม่พูดเลย แบบไม่คุยด้วยไม่แบบอะไร พลอยก็ว่าเขาก็คงจะดื้อกับพ่อเขาพอสมควร เขาเป็นคนชัดเจน มีความรู้สึกว่าเขาชัดเจนจริงๆ ว่าเขาไม่คือไม่ ตอนนั้นเราเลยต้องตัดสินใจ เพราะว่าถ้ารอบนี้เราบอกว่าไม่ ก็คือคราวนี้จบจริงแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เพราะว่าเราคบกันมาขนาดนี้แล้ว เราก็รู้สึกว่าเขาก็ใช่สำหรับเราแล้ว ซึ่งตอนที่พลอยไปบอกคุณแม่คุณพ่อว่าจะแต่งงาน ตอนนั้นมันยากมากเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันยาก แล้วเขาจะเข้าใจเราไหมอะไรอย่างนี้ เราก็ร้องไห้เข้าไปก่อนเลย โดนที่ท่านก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็บอกท่านว่าเราเลือกแล้ว เราขอเลือกแบบนี้ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราเลือกจะไม่เชื่อฟังเขา เพราะทุกครั้งเราก็จะคุยกัน สรุปสุดท้ายคือเป็นไปตามทำตามที่พ่อแม่ว่า แล้ววันนั้นก็คือเป็นครั้งแรกด้วยที่ได้บอกพ่อกับแม่ว่า จริงๆ แล้วก็ได้แอบคบกับพี่เคนมาตลอด ซึ่งท่านก็ไม่ได้ยอมรับแล้วก็ไม่ได้พอใจ แต่เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้วจริงๆ เราขอแบบนี้นะ ซึ่งเขาก็รู้เหตุผลของฝั่งพี่เคนแหละว่าทำไมเพราะอะไร แล้วพี่เคนต้องเจอกับอะไร ซึ่งอารมณ์ตอนนั้นเราก็เหมือนจะสู้ไปด้วยกันกับพี่เคน เพราะเราเองก็ยังไม่รู้ด้วยว่าพ่อแม่ของสามีเขาจะอย่างไรกับเราด้วยซ้ำ แต่เราสองคนรู้แค่ว่าเราโอเคกันเราจะไม่เลือกใครแล้ว แล้วเขาก็รู้ว่าเขาเลือกเราแล้วแค่นั้นเลยแล้วๆ
ถาม และอีกเรื่องที่ถ้ามองย้อนกลับไป สิ่งที่แรงที่สุดที่เข้ามากระทบในชีวิต คือวันที่พลอยออกมาแถลงข่าว เป็นวันที่เรามีน้องอยู่ในท้องแล้ว 7 เดือน ก็มีข่าวออกมาต่างๆ นานา แน่นอนพอออกมาแถลงข่าวว่ามีน้องก็มีข่าวว่าท้องก่อนแต่งส่วนใหญ่ไปในทิศทางนี้ พูดได้ว่าพลอยไม่ได้อธิบายในเรื่องนี้เลย
พลอย ชิดจันทร์ : เราไม่ได้อธิบายไทม์ไลน์ขนาดนั้นว่าเราได้มาคุยกันตั้งแต่แรก วันนั้นเราก็อธิบายเพียงแค่ว่าที่เขียนอักษรย่อกันคือเราแหละ แต่เราแต่งงานกันแล้วนะ แต่เราไม่ได้อธิบายว่าเราแต่งงานกันมานานแล้ว แต่แต่งกันเงียบๆ เฉพาะคนในครอบครัวเราที่รู้ ซึ่งในรายการ Club Friday Show เป็นครั้งแรกของพลอยเลยค่ะ ที่มานั่งเล่าไทม์ไลน์ ทั้งหมดแบบละเอียดมาก
ถาม ซึ่งอาชีพที่พลอยใฝ่ฝันคือหมอ แล้วเปลี่ยนมาเป็นการแสดง และซึ่งจริงๆ แล้วสุดท้าย อาชีพจริงๆ ของพลอยคือนักธุรกิจ แล้วก็เป็นแม่บ้านแบบเต็มตัวในการเลี้ยงลูก
พลอย ชิดจันทร์ : ตอนนั้นก็เหมือนเราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตของเราก็พลิกอีก ตอนนั้นเราก็ต้องมาโฟกัสคือภาษาของเราต้องได้ เพื่อสื่อสารกับครอบครัวสามี ลูกค้าธุรกิจ เราต้องช่วยเขาได้ ซึ่งทุกวันนี้เราก็คุยได้เลย คุยกับคุณพ่อได้ตลอดแล้วค่ะ พอคุยกันจริงๆคุยพ่อเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด แรกๆ เราก็จะคิดว่าเขาดูดุมากค่ะ แต่พอได้คุยกับเขาจริงๆ เขาสอนเราเยอะมาก ภาษาที่พลอยได้ทุกวันนี้ พลอยก็ได้มาจากคุณพ่อเลยค่ะ เพราะคุยกับเขา เขาก็จะโต้ตอบสอนเราด้วย เขาก็จะ FaceTime มาเลยค่ะ เพื่อจะคุยกับพลอย เพราะเขากลัวว่าถ้าเขาโทรมาเขาจะคุยกับพลอยไม่รู้เรื่อง เขาต้องเห็นหน้าคุยอธิบายมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งพี่เคนเขาคงมั่นใจในตัวเราว่าเราได้ เราเอาอยู่ เราจัดการได้ เราทำได้แหละ เขาก็เลยให้เราคุยกับพ่อไปเลยเรื่องนี้ พลอยก็ต้องขยันขึ้นมากๆ ซึ่งคุณพ่อ จะโทรมาคุยงานคือ 8 โมงเช้า
ถาม คุณพ่อคุณแม่เขาเคยเหมือนไม่เลือกเรา เขามีกำแพงกับเราไหมช่วงแรก
พลอย ชิดจันทร์ : พลอยก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากขนาดนั้นนะคะ คุณแม่คือน่ารักมาก ใจดีมาก เป็นคุณแม่ที่เข้าใจนะคะ ส่วนคุณพ่อก็คงจะมีแผนในมุมนักธุรกิจการทำงานของเขาที่พลอยก็เข้าใจ แต่ในเมื่อมันไม่เป็นแบบนั้น เขาก็เข้าใจยอมรับได้ ตั้งแต่ที่พลอยมาอยู่กับครอบครัวเขาก็รู้สึกดีตลอด ไม่ได้มีความรู้สึกแบบที่เรากังวลเลย มันคือความคิดที่เราคิดไปเองทั้งนั้น
ถาม จนตอนนี้ พลอยคือสะใภ้คนโปรด เพราะคุณพ่อคุณเคนรักพลอยมาก คุยกับลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองแล้วทุกวันนี้
พลอย ชิดจันทร์ : ใช่ค่ะ ทุกวันนี้เป็นแบบนั้นเลยค่ะ
ถาม นี่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คนที่มีปัญหาในความรักพ่อแม่เขาไม่ชอบเรา หรือพ่อแม่เราไม่ชอบเขา ที่สำคัญสุดคือ คนสองคนจริงๆ
พลอย ชิดจันทร์ : เขาคงเห็นความพยายามของเรา สุดท้ายเขาก็ยอมรับ เขาอยู่ไหนเราก็อยู่นั่น เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของ พลอยเลยในตอนนั้น ซึ่งพี่เคนก็พูดกับพลอยประโยคหนึ่ง You Jump I Jump ด้วยกันนะ
ถาม แล้วแฮชแท็ก #อาชีพพลอยชิดจันทร์ มายังไง
พลอย ชิดจันทร์ : คงเป็นเพราะว่าเขาเห็นว่าเราดูชีวิตดีดู ดูสบายอะไรอย่างนี้ด้วยมั้งคะ แล้วอาจจะมีการให้ของขวัญกันอะไรอย่างนี้ช่วงตรุษจีนสามีก็ให้อั่งเปาเป็นทองสี่แท่ง เพราะว่ามีลูก 4 คน เป็นทอง 4 กิโล สี่กิโล ก็ประมาณ 6-7 ล้านบาทค่ะ สิ่งที่เราให้สามีคือเขาก็เล็งๆ รถรุ่นหนึ่งไว้ เราก็เซอร์ไพรส์โดยการที่เราไปซื้อตัดหน้าให้เขาก่อน ซึ่งเป็นรถ Bentley มันก็ไม่ใช่เรื่องของมูลค่าด้วยค่ะ เพราะนานๆ เราถึงจะให้กันที เพราะเราก็บอกเขาว่าอันนี้รวมหมดแล้วนะทุกเทศกาล แต่ก็ผ่อนนะ ไม่ใช่ซื้อเลย
ถาม แต่เขาก็ให้คนรอบตัวเขาด้วย อันนี้เป็นสิ่งน่ารักนะ คือการให้โบนัสลูกน้อง
พลอย ชิดจันทร์ : ใช่ค่ะ อันนี้คือเป็นสัญญาให้กันไว้ พี่ๆ ทีมนี้แบบเริ่มก่อตั้งกับเราค่ะ เราก็สัญญากันว่าถ้าอยู่กันครบ 10 ปี เราจะมีแจกโบนัสนะ เหมือนเราเก็บเงินให้ เป็นโบนัสคนละ 500,000 บาท ซึ่งตอนนี้ที่เราทำอยู่คือส่งออกลำไยอบแห้ง ผลไม้สด สามีเองเขาก็ทำตรงนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เราก็มาช่วยเขาทำ มีขนส่งด้วย ล่าสุดกำลังจะเปิดคาเฟ่ค่ะ
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป
Min เรื่องสินสอด นี่ไม่มีธรรมเนียมจีนที่ต้องให้อะไีรฝ่ายชายนะคับ มีแต่ครอบครัวฝ่ายหญิงให้ลูกสาวติดตัวมามากน้อยแล้วแต่บ้าน
10 พ.ค. 2564 เวลา 06.25 น.
phaitoon เค้ามาเล่าเรื่องก่อนแต่งก็เท่านั้นเอง
10 พ.ค. 2564 เวลา 06.29 น.
Weerawat ไร้สาระ
10 พ.ค. 2564 เวลา 06.25 น.
ALLE เริ่มไม่ชอบ
10 พ.ค. 2564 เวลา 06.29 น.
Pom ยินดีด้วยจากใจ เลือกดีแล้วค่ะ ถ้าวันนั้นเลือกทางอื่น..ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังงัย
10 พ.ค. 2564 เวลา 06.58 น.
ดูทั้งหมด