เปิดความจริง "ติ๊กกัญญารัตน์" ทำไมเลิกเป็นนางเอก!
สำหรับคนที่โตมาในยุค90s อย่างจะรู้จักกับ“ติ๊ก- กัญญารัตน์จิรรัชชกิจ” ในฐานะนางเอกหน้าหวานระดับตัวท็อปของวงการบันเทิงเพราะตั้งแต่เธอเริ่มต้นเข้าวงการในปีพ.ศ. 2537 เราก็ได้เห็นหน้าเธออย่างต่อเนื่องทั้งในละคร ภาพยนตร์ โฆษณา มิวสิควิดีโอ ไปจนถึงหน้าปกนิตยสาร โดยมีบทบาทของผู้กองฉวีผ่องจากละครเรื่อง “ผู้กองยอดรัก ยอดรักผู้กอง” ที่หลายคนยังคงจดจำได้
ส่วนคนในยุคหลังก็น่าจะจดจำเธอได้จากรายการในตำนานที่อยู่คู่กับโทรทัศน์ไทยมากว่า10 ปีอย่างSay..Hi! รายการท่องเที่ยวที่เจาะจงเฉพาะประเทศญี่ปุ่นออกอากาศทุกวันศุกร์หลังเที่ยงคืนที่เธอเป็นทั้งพิธีกรอยู่เบื้องหน้าและเป็นผู้บริหารของบริษัทผู้ผลิตรายการเองด้วย จนได้รับตำแหน่งฑูตสันถวไมตรีของประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2550 และอาจไม่เห็นภาพของเธอในฐานะนางเอกแห่งยุคเมื่อแต่ก่อน
สองบทบาทในสองช่วงเวลาที่แตกต่างจะทำให้เธอนั้นรู้สึกอย่างไรบ้างกับที่หลายคนบอกว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะเธอติสต์แตกพร้อมกระแสข่าวว่าเธอเริ่มอยากหวนกลับสู่การเล่นละครอีกครั้งติ๊ก- กัญญารัตน์ในวัย42 ปีได้เปิดใจกับเราที่นี่
เป็นคำถามที่หลายคนค้างคาใจว่าทำไมนางเอกที่มีผลงานเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่องอย่างเธอนั้นถึงเลือกผันตัวไปทำรายการหรือทำงานเบื้องหลังอย่างรวดเร็วทั้งที่บทบาทที่ได้รับก็ยังคงสร้างชื่อเสียงให้เธอได้อย่างต่อเนื่อง
“ติ๊กทำงานตั้งแต่อายุ 17 ปี เรียกได้ว่าสัปดาห์นึงมี 7 วันเราทำงาน 8 วัน เรารับงานสองเรื่องซ้อน เช้าชนเช้าตลอดเวลา ทำงานมาถึงประมาณ 35 แล้วก็ถึงหยุด ก่อนหน้านั้นคือทำงานอัดอย่างเดียวเลย”
“ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการที่เราอยากจะเติบโตกว่าที่เราเป็นเพราะว่ามันก็คงถึงวัยที่เราไม่ได้อยู่เฉพาะเบื้องหน้า มีคลื่นลูกใหม่ที่มาเป็นตัวแทน เราเองก็ไม่รู้จะอยู่ตำแหน่งไหนของหน้าฉาก จะไปเล่นเป็นนางเอก พระเอกก็ไม่มี แต่งงานกันหมดแล้ว ก็ไม่รู้จะไปจับคู่กับใคร อินเลิฟกับใคร หรือถ้าไปเล่นแล้วเขาจะอินกับเราไหม มันก็เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ยากสำหรับหน้าฉาก หรือว่าจะให้เรากลับไปเล่นเป็นแม่ เราก็คิดแล้วคิดอีก หรือว่าเราจะจบภาพสวยๆ เป็นนางเอกที่ทุกคนจดจำเรา”
แม้จะเป็นนางเอกระดับตัวท็อปแต่เมื่อตัดสินใจเลิกรับงานละครและมาให้เวลากับการทำรายการSay..Hi! แบบเต็มตัวอาจจะไม่ได้สวยงามเหมือนหน้าฉากด้วยเวลาออกอากาศของรายการที่ค่อนข้างดึก
“ก็เริ่มคิดว่าเราจะทำอะไรจากที่เป็นตัวตนเราก่อน เราไปญี่ปุ่นหลังจากที่ปิดกล้องละครเกือบทุกเรื่องเลย แล้วก็เป็นคนชอบพูดในวิดีโอเล่น สมัยก่อนยังไม่มีมือถืออัดก็ถ่ายวิดีโอเล็กๆ บางวันก็เป็นพิธีกรเวลาไปท่องเที่ยว ก็จะบรรยายในสิ่งที่ตัวเองไป ก็มีความรู้สึกว่าเออ! เราก็เป็นของเราแบบนี้ ก็เลยเดินทางไปที่ญี่ปุ่นเพื่อไปติดต่อกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นเลย เพราะตอนนั้นก็คิดว่าถ้าทำท่องเที่ยวเราอยากจะทำที่ใดที่หนึ่งแล้วให้เป็นExpert ไปเลย”
“คือทางช่อง 3 เป็นสถานีใหญ่และก็ค่อนข้างที่จะมีผังเต็มแล้ว เราได้เวลาส่วนนึงของสถานีนั่นก็คือพิเศษแล้ว ติ๊กได้คุยกับผู้ใหญ่อย่างคุณวิบูลย์ (วิบูลย์ ลีรัตนขจร ผู้บริหารบริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด) บอกว่าติ๊กทำ พี่ยังทำตั้งแต่ตีสองตีสามมา ทำพิสูจน์ตัวเอง เราใช้เวลาตรงนั้นพิสูจน์ตัวเองให้เรามีจุดยืน เราก็เชื่อผู้ใหญ่ ทำตรงนั้นจนกลายเป็นคอนเนคชั่นกันเรื่อยมา”
หลายคนที่เห็นเบื้องหน้าอาจคิดว่า ติ๊ก- กัญญารัตน์ มีเพียงแต่Say..Hi! เท่านั้นแต่จริงๆแล้วเธอคลุกคลีอยู่กับวงการบันเทิงโดยตลอดเธอมีทั้งบริษัทขายอุปกรณ์สำหรับการผลิตรายการโทรทัศน์เป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์รางวัลอย่าง“ตั้งวง” และอีกบทบาทล่าสุดในฐานะผู้จัดละคร
“ระหว่างที่เรารองานละครหาบทละครอยู่ รู้สึกว่าถ้างานละครมันยังไม่ใช่เรา ลองทำหนังไหม อย่างละครเราจะใช้ทุนตามสถานีต่างๆ แต่ถ้าเป็นหนังเราใช้ทุนเรา คืออยากทำ เราทำ เป็นน้องใหม่ที่มีความรู้สึกอยากทำอะไรที่เป็นตัวตนของตัวเองเท่านั้นเองไม่ใช่อินดี้ ก็คิดกับพี่ๆ ที่รู้จักกัน ปรึกษากันว่าถ้าทำหนังขอหนังรางวัลก่อน”
“สำหรับเด็กคนหนึ่งอยากให้สังคมยอมรับว่าการที่เขามาทำอะไรแล้ว ได้รางวัลก็ดี ได้กระแสตอบรับก็ดี ได้คนพูดถึงก็ดี นั่นคือกำไรของเขา มันไม่ใช่กำไรทางเงินทองหรืออะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ว่ามันเป็นก้าวนึงที่เรารู้สึกว่ามันเป็นกำลังใจในการสานต่อ ตอนนี้ก็รอลุ้นละครของตัวเองที่กำลังจะออกอากาศเรื่องรักพลิกล็อค ซึ่งจะออกในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็เป็นละครที่ตัวเองเป็นผู้จัดเรื่องแรก”
ถึงจะมีรางวัลที่ยืนยันความประสบความสำเร็จของเธอในบื้องหลังแต่ติ๊กก็ยอมรับว่าการทำงานในธุรกิจบันเทิงในช่วงนี้นั้นยากขึ้นตัวเธอเองก็เสียดายและอยากหวนกลับสู่การเล่นละครอีกครั้ง
“จริงๆ อยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ว่าวงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ตอนนี้มันยากมาก อยู่ดีๆ ใครจะคิดว่าอุปกรณ์ที่อัดเสียงได้ ถ่ายรูปได้อย่างมือถือมันจะมาแทนทุกอย่าง ทำให้รู้สึกว่ามันไปต่อไม่ถูก มันไม่ใช่คิดงานยากนะ แต่รู้สึกว่าถ้าคิดแล้วใครจะซื้อ ซื้อเท่าไหร่ เลยมีความรู้สึกว่าหยุดกับโปรเจกต์ต่างๆ ไว้ก่อน เพราะลงไปก็มีแต่เสียกับเสีย”
“ตอนนี้เริ่มเสียดาย แต่ว่าอีกใจคือไม่เสียดายเพราะถือว่าตัวเองเป็นคนตัดสินใจที่ไม่รับละครเองในตอนนั้น แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย! รุ่นเราเขากลับมาเล่นกันล่ะ งั้นบิ้วตัวเองแล้วกันแล้วค่อยกลับมาเล่น แต่ว่าก็คงต้องเคาะสนิมเพราะว่าลืมไปแล้วว่าตัวเองจะต้องเล่นอะไรยังไง เดี๋ยวนี้คนรุ่นติ๊กที่เคยเป็นนางเอกกลับมาเล่นร้ายกันหมดเลย เรานึกภาพตัวเองร้ายไม่ออก”
“สักวันอยากจะขอกลับมาสักเรื่องสองเรื่อง เพื่อให้เด็กอีกเจนเนอเรชั่นหนึ่งได้รู้จักเรา ไม่ได้ต้องการเงินไรเลยนะจริงๆ คือต้องการให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักกับเรา”
หลังจากที่ได้พูดคุยกับเธอเราคิดว่าเธอคือตัวอย่างของผู้หญิงที่รู้ความต้องการของตัวเองและเป็นคนที่มีความชัดเจนในจุดยืนซึ่งมีเสน่ห์ในตัวเองมากไม่ได้ติสต์แตกอย่างที่หลายคนเข้าใจแถมยังเป็นผู้หญิงในแบบที่หลายๆคนอยากเป็น
“เคยไปสัมภาษณ์รายการนึงถามว่าติสต์แตกป่ะ? ติ๊กก็บอกว่าติ๊กไม่ติสต์ แต่ติ๊กก็ไม่ได้สังคม คือเป็นคนที่ไม่ค่อยไปงาน อยู่กับโลกของตัวเอง ฉันอยากทำอะไรฉันก็ทำ อยากเจอเพื่อนก็ไป ถ้าไม่อยากติ๊กก็อยู่คนเดียวก็ได้ ตื่นมายังไม่ทันทำไร ออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแต่งตัว เข้าบริษัทก็เย็นแล้วอ่ะ วันๆ หนึ่งมันหมดไปเร็วมาก”
“ติ๊กก็ไม่ได้เป็นโมเดลของใครหลายๆ คน ไม่สามารถสอนคนอื่นได้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น แต่ตราบใดที่เรารู้สึกว่าเรารักตัวเองให้เป็น รักคนที่อยู่รอบข้างเราให้เป็น ทำทุกอย่างให้มีความสุขที่ตัวเองอยากทำ นั่นก็คือจบ"
𝐁𝐨𝐨𝐦 𝐌𝐚𝐧𝐨𝐦𝐚𝐫𝐝 ผมรอดูอยู่นะครับ 😆😆😆
10 พ.ย. 2561 เวลา 13.38 น.
momop กลับมาจะดู สู้ๆ
10 พ.ย. 2561 เวลา 13.27 น.
ทำในสิ่งที่ตัวเองรักดีกว่า แสดงละครมันได้เงินก็จริง แต่น้องติ๊กไม่ได้ขาดแคลนเงินนี่คะ
10 พ.ย. 2561 เวลา 13.39 น.
Nara หน้าคุณติ๊กสวยมากๆเลยค่ะ ขนาด 42 แล้วนะ เสียดายหุ่น ท้วมไปนิดนึงค่ะ
10 พ.ย. 2561 เวลา 14.03 น.
เป็นคนร่างใหญ่ขาทู่ๆแต่หน้าสวยนะ
10 พ.ย. 2561 เวลา 13.22 น.
ดูทั้งหมด