“ศุภวุฒิ” ข้องใจไทยจัดการโควิดเจ๋ง แต่ศก.มืดมัวกว่าสหรัฐ
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนผู้ติดเชื้อในทั่วโลกยังเป็นทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขล่าสุด พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งหมดอยู่ที่ 11.7 ล้านราย ผู้เสียชีวิต 540,000 ราย ซึ่งอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 5% จะเห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละกว่า 2 แสนรายต่อวัน ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,000-5,000 รายต่อวัน ความน่าสนใจอยู่ที่แม้จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันจะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเสียชีวิตค่อนข้างนิ่ง สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีความสามารถในการรักษาผู้ติดเชื้อใหม่มากขึ้น แม้จะยังไม่มีการค้นพบวัคซีนต้านไวรัส หากยังปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อท่วมความสามารถในการรักษาของสาธารณสุข จนไม่สามารถรับมือไหวก็เป็นไปได้ จึงต้องแยกพิจารณาเป็นรายประเทศ หากดูในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างร้อนแรง จะอยู่ในประเทศสหรัฐ บราซิล อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งก็มีความเป็นห่วงในบางประเทศที่สาธารณสุขยังไม่ได้ดีมากนัก รวมถึงจำนวนประชากรที่มีจำนวนมาก จะมีความสามารถในการรับมือได้มากหรือน้อยเท่าใด หากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อนแรง หากเปรียบเทียบในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่สหรัฐยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้ จะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพียง 20,000-25,000 รายต่อวัน ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 2,000 รายต่อวัน หรือเฉลี่ย 10% จนกระทั่งมีการเปิดประเทศ ก็พบว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ปรับเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 45,000-50,000 รายต่อวัน แต่อัตราผู้เสียชีวิตปรับลดลงเหลือ 500-700 รายต่อวัน
“แม้สถานการณ์โควิด-19 จะพบผู้ติเชื้อรายใหม่มากขึ้น แต่กลับพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐยังสามารถปรับระดับขึ้นได้ดี สาเหตุคาดว่าเป็นเพราะจำนวนผู้เสียชีวิตรายใหม่ต่อวัน ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้เห็นว่า ระบบสาธารณสุขในสหรัฐสามารถที่จะดูแล รักษา และเลี่ยงการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อได้ค่อนข้างดีมาก ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจ แม้จีดีพี ไตรมาส 2/2563 จะติดลบรุนแรงมาก แต่ตลาดหุ้นกลับสะท้อนว่า ภาพในระยะถัดไปจะเริ่มกลับมาดีขึ้น จึงเห็นภาพของดัชนีปรับระดับขึ้น 20-30% ทั่วโลก
“สลับภาพมาที่ประเทศไทย ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศติดต่อกันกว่า 40 วัน ส่วนจำนวนผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลมีเพียง 50 รายเท่านั้น แต่ตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นสู้ตลาดหุ้นต่างชาติไม่ได้ สะท้อนให้เห็นว่า ไทยรับมือกับโควิด-19 ได้ดีมาก แต่เศรษฐกิจไทยดูมืดมัวมากกว่าสหรัฐด้วยซ้ำ” ดร.ศุภวุฒิกล่าว
TinyXin ฮัลโหล!!!
เมกา คนตกงานจะ 50 ล้านคนละอนาคตอยู่ไหนไม่รู้
คนตายเป็นใบไม้ร่วง
ม๊อบทั่วประเทศ
ธนาคารกลางสหรัฐปั๊มเงินเข้าระบบเกิน 3 ล้านล้านเหรียญจะ Hyperinflation เมื่อไรไม่รู้
เราดีกว่าไม่รู้เท่าไร
แต่ที่ฟื้นยากเพราะมันซึมกันทั้งโลก
เราพึ่งพาส่งออก และท่องเที่ยวเยอะ
ส่งออกไม่ดี เพราะประเทศเคยรวยลำบากกันหมด (โดยเฉพาะสหรัฐนั่นแหละ)
นักท่องเที่ยวมาไม่ได้ เพราะประเทศต่างๆเค้ายังระบาดกันอยู่
เป็นแค่นี้ดีแค่ไหนละ
ท่านเป็นดร.ทำไมมองอะไรแค่นี้
แล้วนะ อีตลาดหุ้นมันเอามาเทียบกับตลาดจริงได้ที่ไหน
07 ก.ค. 2563 เวลา 14.43 น.
Iam@an 😊 ถ้าคนไทยติดโควิดหมด..และไม่มีทีท่าว่าจะรักษาได้แล้วใครจะอยู่ทำให้เศรษฐกิจมันดีขึ้นอ่ะ..คนป่วยจะมีแรงทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเหรอ...พูดเนี่ยเพื่อให้เห็นลำดับความสำคัญ เป็น ดร.คิดนิดนึงอย่าแสดงความเห็นแบบอคตินักเลย..อเมริกาเขามีประชากรเยอะตายไปบางส่วนเขายังมีเหลือ.ถ้าเทียบกับไทยก็หมดแล้วหมดเลยประมาณนี้..หวังว่าคงเข้าใจ
07 ก.ค. 2563 เวลา 15.01 น.
{|:DrJo:|} ก็ลองให้แบงค์ชาติปั๊มเงินไม่จำกัดได้เหมือน FED ซิ ไอ้ ดร กร๊วก
07 ก.ค. 2563 เวลา 14.40 น.
chayakot(toi) เมกามันพิมพ์แบงเองได้
07 ก.ค. 2563 เวลา 15.36 น.
Wal A เมกามันถือว่ามันยึดโลกได้ เป็นจ้าวโลก ใครก็ใช้ดอลลาร์ของมัน เอะอะก็พิมพ์ธนบัตรออกใช้โดยไม่สนว่าต้องอิงทองคำ แค่นี้มันก็เอาเปรียบชาติอื่นทั่วโลกแล้ว
07 ก.ค. 2563 เวลา 15.06 น.
ดูทั้งหมด