เยอรมนีถือเป็นประเทศมหาอำนาจตะวันตกประเทศท้ายๆ ที่มีความสัมพันธ์กับสยาม หากเทียบกับ โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ หรือฝรั่งเศส แต่ในยุคล่าอาณานิคม สยามกลับได้รับความเป็นมิตรอย่างแท้จริงจากเยอรมนี ซึ่งความสัมพันธ์อันดีนี้ปรากฏตั้งแต่การทำสนธิสัญญาฉบับแรกระหว่างกันในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 และเมื่อผู้นำคณะอัครทูตกล่าวถึงจุดยืนของเยอรมนีต่อภูมิภาคนี้ก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินสยามพอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง
การเข้ามาติดต่อของเยอรมนี (หรือประเทศปรัสเซียในขณะนั้น เพราะยังไม่มีการรวมชาติเยอรมนี แต่ในบทความนี้จะขอใช้คำว่าเยอรมนี) เกิดขึ้นหลังความสำเร็จในการทำสนธิสัญญาการค้าและพาณิชย์ในเอเชีย ซึ่งทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสได้ผลกำไรมหาศาล บางชาติแม้ไม่ตกเป็นอาณานิคมแต่มีสภาพกึ่งอาณานิคมเพราะระบบการค้าเสรีที่ชาติมหาอำนาจนำเข้าไป ถือเป็น“เมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ” ของชาวยุโรป(ไกรฤษ์ นานา, 2553 : 120)
สำหรับชาวเยอรมันนั้นมีท่าทีกอบโกยผลประโยชน์น้อยกว่าอังกฤษและฝรั่งเศส สยามพบว่ามหาอำนาจชาตินี้กระทำการหักหาญน้ำใจและแสดงความคุกคามน้อยมาก สิ่งที่ชาวเยอรมันต้องการคือทำการค้าอย่างจริงจังเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพ่อค้าชาวเยอรมัน สยามจึงมองการคบค้ากับเยอรมนีว่าอาจเป็นประเทศที่เข้ามาช่วยถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษและฝรั่งเศส สิ่งที่ต้องแลกคือการทำสัญญาลักษณะเดียวกับที่ทำกับชาติมหาอำนาจก่อนหน้า ซึ่งมีข้อเสียเปรียบ เช่น การเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ฯลฯ แต่ก็ถือเป็นการแสดงความจริงใจและความเสมอภาคกับชาติตะวันตกอื่นๆ ที่เข้ามาติดต่อในเวลานั้น
21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404 เยอรมนีส่งคณะทูต มี เคานต์กราฟฟริตซ์ซูออยเลนบวร์ก(Graf Fritz Zu Eulenburg) เป็นอัครทูตพิเศษ นายซานลีไบเซลเป็นอุปทูต คณะทูตเข้าเฝ้ารัชกาลที่4 วันที่24 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้น พระมหากษัตริย์สยามทรงสนพระทัยเกี่ยวกับจำนวนเรือรบที่มาพร้อมคณะทูต นอกจากนี้ การสนทนาบางตอนแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงให้ความสนพระทัยในภาวะทางการเมืองและนโยบายต่างประเทศของเยอรมนีอย่างมาก มีการตรัสถามเรื่องอาณานิคมหรือเมืองขึ้นของเยอรมนีเพื่อหยั่งเจตนารมณ์ของผู้นำคณะทูต
อัครทูตเยอรมันได้กราบทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า เยอรมนีไม่ต้องการเมืองขึ้นทางเขตร้อน กลายเป็นว่ารัชกาลที่4 ทรงพอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง ทั้งมีพระราชดำรัสตอบไปว่า
“การล่าอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรปเป็นต้นเหตุของความเข้าใจผิด นำไปสู่ภาวะสงครามโดยไม่จำเป็น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย”
การเปิดสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศในครั้งแรกนี้เป็นที่แน่ชัดว่านโยบายของเยอรมนีเป็นที่พอใจของชาวสยาม จึงนำไปสู่การลงนามของผู้แทนรัฐบาลทั้ง2 ฝ่ายในสนธิสัญญาฉบับ วันที่7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2405 และก่อนจะเดินทางกลับไปเยอรมนี เคานต์ซู ออยเลนบวร์กได้ขอให้เซอร์โรเบิร์ต ชอมเบิร์ก กงสุลอังกฤษดูแลกิจการอันเป็นผลประโยชน์ของชาวเยอรมัน จากนั้นจึงแต่งตั้ง นายปอลเลสเลอร์(Herr paul Lessler) เป็นกงสุลเยอรมันคนแรกประจำกรุงเทพฯ
หนังสือพิมพ์เยอรมันชื่อIllustrirte Zeitung พ.ศ. 2404 ได้ลงข่าวความสำเร็จในการทำสัญญาการค้าและพาณิชย์ของสยามกับเยอรมนี ทำให้ภาพลักษณ์ของสยามออกสู่สายตาประชาชาติในทวีปยุโรป และตัวตนของรัชกาลที่4 ผู้มีพระทัยกว้างกับสัมพันธภาพที่ดีกับเยอรมนีซึ่งจะยั่งยืนต่อไปในรัชกาลที่5
หลักฐานแสดงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสยามกับเยอรมนีที่เด่นชัดในสมัยรัชกาลที่5 คือ ทรงเลือกจัดตั้งสถานกงสุลสยาม ณ กรุงเบอร์ลิน เป็นแห่งที่3 ต่อ จาก ลอนดอน และปารีส ถือเป็นการให้ความสำคัญทางสัมพันธไมตรีและทางการทูตกับเยอรมนีอย่างยิ่งในฐานะมหาอำนาจลำดับ3 ของยุโรป ต่อจาก อังกฤษกับฝรั่งเศส
ในสมัยที่พระองค์ทรงปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ เพื่อทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทรงมอบหมายงานกิจการพื้นฐานของชาติหลายอย่าง ทั้งงานด้านทางรถไฟ การไปรษณีย์โทรเลข พาณิชย์นาวี และการธนาคาร แก่ผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน เช่น นายแฮร์ เบทเก(Herr Kari Bethge) เป็นชาวเยอรมันที่เป็นเจ้ากรมรถไฟคนแรก
บทบาทความสัมพันธ์ของเยอรมนีกับสยามโดยเฉพาะการการเสด็จประพาสเยอรมนีของรัชกาลที่5 และการดึงชาวเยอรมันมาช่วยพัฒนากิจการในประเทศทำให้ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสค่อนข้างระมัดระวังในการแสดงออกถึงการคุกคามสยาม ความเป็นชาติมหามิตรของเยอรมนีจึงมีส่วนทำให้สยามสามารถยืนหยัดอย่างมีตัวตนบนเวทีการเมืองโลกตลอดยุคจักรวรรดินิยม
อ้างอิง :
ไกรฤกษ์ นานา. (2553). ค้นหารัตนโกสินทร์3. กรุงเทพฯ: มติชน.
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 2 สิงหาคม 2562
ยอด เจษฎา ด้วยกระหม่อมเป็นชนรุ่นหลังที่เกิดและโตในแผ่นดินสยามหรือประเทศไทยในปัจจุบัน ขอน้อมรับในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีแด่ปวงชนชาวไทยที่ทรงงานและวางรากฐานให้ไทยคงเป็นไทย เป็นเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้... ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะข้าพระพุทธเจ้านายเจษฎา ท่วมประจักษ์ ราษฎรไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบัน
05 ส.ค. 2563 เวลา 03.40 น.
สุกัญญา สุคนธี ขอบคุณที่กรุณาเผยแผ่ความรู้ให้ทราบโดยท้่วกันอย่างแพร่หลาย
05 ส.ค. 2563 เวลา 03.55 น.
ท่านทรงพระปรีชามาก จากที่เคยเรียนมา
05 ส.ค. 2563 เวลา 04.03 น.
กระผมคนนึงที่อยากเกิดในสมัยนั้นครับ
05 ส.ค. 2563 เวลา 03.53 น.
Monmalai กราบพระบาทพระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ เป็นหนี้บุญคุณเหลือเกิน รักประเทศไทยค่ะ
05 ส.ค. 2563 เวลา 03.59 น.
ดูทั้งหมด