“เครดิตบูโร” เปิดตัวเลขหนี้เสียรายย่อยทั้งระบบแบงก์-น็อนแบงก์พุ่งแตะ 7.2% ทะลุ 7.3 แสนล้านบาท สัญญาณเอ็นพีแอลยังไหลไม่หยุด คาดพุ่งสูงสุดช่วง Q 2/61 บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล ยังเจอหนี้เน่าปูด แบงก์สกรีนเข้มฉุดยอดอนุมัติบัตรลดฮวบ แถมตัวเลขใช้วงเงินโอดีติดลบ ธุรกิจไม่ลงทุน-แบงก์เรียกคืนวงเงินป้องกันหนี้เสีย
หนี้เสียรายย่อยทะลุ 7 แสนล้าน
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมลูกหนี้สินเชื่อของสถาบันการเงินทั้งระบบ ซึ่งรวมธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการด้านการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (น็อนแบงก์) และธนาคารรัฐ ล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2560 พบว่าลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเป็นเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก มาอยู่ที่ระดับ 7.2% ของมูลค่าสินเชื่อรวม 11 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าเอ็นพีแอลราว 7.3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ตัวเลขเอ็นพีแอลปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 6.8% หรือคิดเป็นมูลค่า 6.5-6.6 แสนล้านบาท โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 ปี นับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2558 ที่เอ็นพีแอลอยู่ที่ 4.5% หรือคิดเป็นมูลค่า 4.4 แสนล้านบาท โดยหากดูไส้ในหลัก ๆ แล้ว เอ็นพีแอลส่วนใหญ่มาจากกลุ่มน็อนแบงก์มากสุด เช่นสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเงินผ่อนต่าง ๆ ทำให้เอ็นพีแอลปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) หมายถึงหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน ยังเพิ่มขึ้นหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยล่าสุดมาอยู่ที่ 2.7% ขณะที่ยอดการปรับโครงสร้างหนี้ก็ปรับขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่ง ณ ไตรมาสที่ 3/2560 อยู่ที่กว่า 7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2557 ที่มีการปรับโครงสร้างหนี้เพียง 1.5 แสนล้านบาท สะท้อนว่าลูกหนี้รายย่อยยังมีความอ่อนแอ ทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้น ทำให้เชื่อว่าเอ็นพีแอลจะยังไหลต่อ โดยคาดว่าจะเห็นเอ็นพีแอลสูงสุดในไตรมาสที่ 2/2561 หรือเร็วที่สุดในไตรมาสแรก
“ถ้าเอ็นพีแอลจะพีก ตัวเลขปรับโครงสร้างหนี้จะต้องไม่เพิ่มขึ้นแบบนี้ และ SM ต้องทรงตัว แต่ขณะนี้ยังเห็นทั้งสองตัวเลขปรับขึ้น หมายความว่ายังมีลูกหนี้ที่อ่อนแอไปไม่ไหวต้องกลายเป็นเอ็นพีแอล” นายสุรพลกล่าว
แบงก์เข้มปล่อยกู้รูดปรื๊ด-พีโลน
นายสุรพลกล่าวว่า กลุ่มที่น่าห่วง และแบงก์มีการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากที่สุด คือกลุ่มสินเชื่อบุคคล ซึ่งพบว่า จำนวนบัญชีที่เป็นเอ็นพีแอลปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดมีบัญชีที่เป็นเอ็นพีแอลรวมถึง 2.5 ล้านบัญชี มากที่สุดคือ กลุ่มเจนวาย ช่วงอายุ 20-37 ปี โดยมีบัญชีที่เป็นเอ็นพีแอล 1.3 ล้านบัญชี ขณะที่เจนเอ็กซ์ (อายุ 38-52) มีบัญชีที่เป็นเอ็นพีแอลถึง 9 แสนบัญชี และเบบี้บูมเมอร์ มีหนี้เสีย 3 แสนบัญชี ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ต้องออกมาตรการแรง ๆ ในส่วนสินเชื่อบุคคล เพราะเป็นกลุ่มที่มีหนี้เสียค่อนข้างมาก
สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตช่วง 9 เดือนแรกยอดอนุมัติบัตรใหม่อยู่เพียง 1.35 ล้านใบ ดังนั้นปีนี้ทั้งปีไม่น่าเกิน 1.8 ล้านใบ จากปีที่ผ่านมามีการอนุมัติบัตรเครดิตอยู่ที่ 2.12 ล้านใบ ซึ่งยังคงสะท้อนให้เห็นว่าแบงก์เข้มงวดการออกบัตรใหม่ และสกรีนลูกค้าเข้มงวด ทำให้ยอดการอนุมัติบัตรน้อยลง แม้ช่วงปลายไตรมาสที่ 3 แบงก์จะเร่งการอนุมัติบัตรก่อน ธปท.ออกเกณฑ์คุมการปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลก็ตาม แต่การอนุมัติบัตรยังอยู่ระดับต่ำ
ขณะที่เอ็นพีแอลบัตรเครดิตพบว่า เจนวายมีหนี้เสียที่ 4.5 แสนบัญชี, เจนเอ็กซ์หนี้เสียเกือบ 5 แสนบัญชี ซึ่งสอดคล้องกับมูลค่าเอ็นพีแอลที่สูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน
ในส่วนของสินเชื่อรถยนต์มีสัญญาณการเติบโตหลังจากชะลอตัวมานาน โดยไตรมาสที่ 3/2560 สินเชื่อรถยนต์มีการเติบโต 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คุณภาพหนี้ที่เป็นหนี้เสียอยู่ราว 1 ล้านสัญญา โดยเป็นกลุ่มลูกหนี้เจนวาย และเจนเอ็กซ์ อย่างละ 4 แสนสัญญา ส่วนลูกหนี้สินเชื่อบ้าน เอ็นพีแอลยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยหลักอยู่ที่เจนวายและเจนเอ็กซ์เช่นกัน
ตัดวงเงิน OD-ปิดเสี่ยง NPL
นายสุรพลกล่าวว่า ด้านสินเชื่อภาคธุรกิจที่เป็นนิติบุคคล พบว่าในการเบิกใช้วงเงิน OD หรือวงเงินเบิกเกินบัญชีในไตรมาสที่ 3/2560 ยอดเบิกวงเงินลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.2% มาอยู่ที่ 6.17 แสนล้านบาท สะท้อนว่าภาคธุรกิจมีการเบิกใช้วงเงินน้อย เพราะค้าขายหรือทำธุรกิจไม่ดี จึงไม่มีการลงทุนเพิ่ม หรืออีกด้านก็เป็นเพราะสถาบันการเงินมีการปรับลดวงเงิน OD เนื่องจากเห็นความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจ
ทั้งนี้คุณภาพหนี้ของภาคธุรกิจที่เป็นนิติบุคคลจากข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่าเอ็นพีแอล ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 4.7% น่าจะเป็นระดับที่พีกแล้ว เนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้แบงก์สามารถคุมอยู่ทำให้ SM ทรงตัว สำหรับกลุ่มธุรกิจที่น่าเป็นห่วงก็คือ ธุรกิจพาณิชย์ ซึ่งเกี่ยวกับซื้อมาขายไป ซึ่งเมื่อกำลังซื้อในประเทศไม่ฟื้นก็ทำให้การค้าขายไม่คล่อง และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ยังน่าเป็นห่วง เพราะปัจจุบันมีสต๊อกเก่าอยู่ค่อนข้างมาก อีกทั้งแบงก์ยังมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถโอนหรือปิดการขายได้ ทำให้การขายอสังหาฯค่อนข้างยากในปัจจุบันโดยเฉพาะในตลาดกลาง-ล่าง
นายสุรพลยังกล่าวเพิ่มเติมถึงภาพรวมการเข้ามาดูข้อมูลเครดิตบูโรของสถาบันการเงินว่า แบงก์มีการตรวจดูข้อมูลลูกค้าเก่าเพื่อบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย 9 เดือนที่ผ่านมา มีการดูข้อมูลลูกค้าเก่าอยู่ที่ 32.19 ล้านครั้ง และคาดว่าทั้งปีจะมากกว่า 43 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2559 เกือบ 1 ล้านครั้ง ที่มีการดูประวัติลูกค้าเก่าที่ 42.15 ล้านครั้ง สะท้อนได้ว่าแบงก์ยังคงมีความระมัดระวังในการเข้าไปปล่อยกู้ใหม่ให้กับลูกค้าเก่า ผ่านการดูข้อมูลที่เข้มงวดมากขึ้น
เช่นเดียวกับการตรวจข้อมูลลูกค้าใหม่เพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อและอนุมัติสินเชื่อ ที่ล่าสุดอยู่ที่ 10.70 ล้านครั้ง จากปีก่อนทั้งปีที่ 13.26 ล้านครั้ง โดยปีนี้คาดว่าการตรวจข้อมูลลูกค้าใหม่จะอยู่ที่ 12.5 ล้านครั้ง ซึ่งอาจประเมินได้ว่า ปีนี้การอนุมัติสินเชื่อใหม่ของแบงก์น้อยลง
Thiti ไหนบอกเศรษฐกิจดีแถลงชื่นชมกันทุกอาทิตย์โม้มโนเพอเจ้อทุกวันศุกร์ของจริงมันจะเจ๊งกันหมดแล้วรู้ไว้ซะด้วยครับท่าน
11 ธ.ค. 2560 เวลา 08.26 น.
ไหนว่าปีหน้าคนจนจะหมดไปสมคิดอ้อลืมไปคนจนตายหมดเออก็ใช่นิ555
11 ธ.ค. 2560 เวลา 07.09 น.
คนเจนวายน่าเป็นห่วงทั่วทั้งโลก
11 ธ.ค. 2560 เวลา 08.14 น.
PJ IT CENTER รอเดี๋ยวเขาได้เรือดำน้ำมาจะหาธุรกิจใหม่ๆทำ...
11 ธ.ค. 2560 เวลา 12.00 น.
pilot guide พอเพียงสิ เห็นอวยกันจัง ใครแตะนิดหน่อยเป็นหมูเป็นหมาถูกไล่ออกนอกประเทศ เอาสิทำสิ
12 ธ.ค. 2560 เวลา 05.23 น.
ดูทั้งหมด