ในปัจจุบันปัญหามลพิษทางอากาศกำลังเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะไม่ว่าจะหลบเข้าอาคาร หรือแม้แต่ใส่หน้ากากก็เหมือนจะเอาไม่อยู่ซะแล้ว มลภาวะทางอากาศเหล่านี้ยังส่งผลเสียมากมายต่อร่างกายทั้งระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ทารกในครรภ์ ที่สำคัญมันยังส่งผลให้เรามีอัตราเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า และมีโอกาศฆ่าตัวตายสูงขึ้นอีกด้วย
งานวิจัยค้นพบว่านอกจากการสูดอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ จะทำให้ร่างกายของเราได้รับผลกระทบทางกายภาพแล้ว ทางด้านจิตใจของเราก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน Isobel Braithwaite จากมหาวิทยาลัยลอนดอนและเพื่อนร่วมทีมของเธอ ได้ทำการรีวิวงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์กว่า 25 ฉบับ จนถึงปลายปี 2017 เพื่อหาความเชื่อมโยงเกี่ยวกับสุขภาพจิต และมลภาวะทางอากาศ
พวกเขาพบว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีค่ามลภาวะสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป (ในงานวิจัยนี้ระบุว่าค่ามลภาวะนั้นคือ PM 2.5) มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 10%
ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด ค่า PM 2.5 โดยเฉลี่ย 1 ปี ไม่ควรจะเกิน 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ที่ลอนดอนมีค่าเฉลี่ย 13.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และในนิวเดลีอยู่ที่ประมาณ 133 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (สำหรับประเทศไทย ในปี 2018 เราถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีค่า PM 2.5 สูงอยู่ลำดับที่ 23 และเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม)
ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
สำหรับปัญหาการฆ่าตัวตายนั้นพบว่ามีความสัมพันธ์กับการรับมลภาวะที่เรียกว่า PM 10 (ขนาดใหญ่กว่า PM 2.5) มากเกินในระยะสั้น การเพิ่มของ PM 10 ทุก ๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพียงแค่ 3 วันก็สามารถเพิ่มอัตราฆ่าตัวตายได้ถึง 2%
Braithwaite กล่าวว่าการหาความเชื่อมโยงระหว่างมลภาวะและสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเรายังคงต้องใช้ชีวิร่วมกับสภาพอากาศแบบนี้ไปอีกในระยะยาวซึ่งมันส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชน เธอตั้งข้อสังเกตว่าสหราชอาณาจักรยังไม่ได้นำแนวทางของ WHO มาใช้กับ PM 2.5 แม้ว่านายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน Sadiq Khan จะรับแนวทางมาแล้วก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้นกลไกที่อธิบายเรื่องนี้ได้โดยตรงก็ยังคงไม่ชัดเจน! Braithwaite เสริมว่ามีการวิจัยมากว่า 10 ปี ในเรื่องผลกระทบของมลภาวะต่อสุขภาพกาย แต่งานวิจัยที่มองความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพจิตกับมลภาวะทางอากาศนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นได้ไม่นาน ไม่แน่ภายใน 5-10 ปีถัดไปเราอาจมีคำอธิบายที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของทั้งสองสิ่งนี้
Ioannis Bakolis จากมหาวิทยาลัย King’s College London กล่าวว่า ในตอนนี้เราอาจจะยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับมลภาวะและอาการซึมเศร้า แต่ความเชื่อมโยงระหว่าง PM 2.5 และภาวะซึมเศร้านั้นเกิดขึ้นคล้ายกันกับผู้คนทั่วโลก การที่มลพิษขนาดเล็กสามารถไหลไปตามกระแสเลือดเข้าสู่สมองของเราอาจก่อให้เกิดการอักเสบ หรือส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนความเครียดได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามนอกจากมลภาวะทางอากาศแล้วยังมีปัจจัยย่อยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความเครียดได้อีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังต้องศึกษากันต่อในระยะยาวเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้น
อ้างอิง NewScientist , Greenpeace
แชร์โพสนี้
มหาสมุทร Pj04/A-304 สงสัยเป็นเพราะรัฐบาลสมัยยิ่งรัก
24 ม.ค. 2563 เวลา 06.50 น.
Nira 🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈
🔶🔸🔶ประกาศค่ะ🔶🔸🔶
รับสมัครคนช่วยงานตอบแชทลูกค้าผ่านเฟส/ไลน์
รายได้สัปดาห์ละ 4000-5000 บาท (รับอายุ18-70ปี) #ทำผ่านมือถือได้ #กรุงเทพปริมณฑลรับเป็นพิเศษ
สนใจงานแอด📱LINE ID : @153lawtz (ใส่@ด้วยค่ะ)
🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈
24 ม.ค. 2563 เวลา 06.48 น.
JW tech TONY เวลามีปัญหาสุขภาพเกิดขึ้น ก็หาพื้นที่ในสมองคิดแก้ไขไม่ได้
แล้วพอภาระสิทธิ์รักษาโรงพยาบาลมันล้น ก็บ่นว่าขาดทุน
สุดท้ายคำถามคือ นี่หรือ ที่บอกว่าการจัดการโดยอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน หรือการจัดการแบบบูรณาการที่พูดบ่อยๆ
คือมันหลายเรื่องที่ปัญหาของประเทศ ไม่มีนโยบายฉลาดๆที่จะเห็นทางสว่างปลายอุโมงค์
มีแต่นโยบายโง่ๆที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า. ถ้าไม่ไหว ก็เปลี่ยนให้คนอื่นมาทำ มาโดนด่าต่อเถอะ
รัฐประหารมาก็นาน ล้างน้ำมาเป็นประชาธิปไตย ก็ยังไม่มีอะไรดีและชัดเจน นอกจากความสงบที่เหมือนปืนจ่อปาก
24 ม.ค. 2563 เวลา 06.31 น.
Dearyamhappy เห็นด้วยค่ะ นอกจากจะเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว อาจจะเป็นโรคปอดอักเสบได้ค่ะ ไม่ต้องรอระบาดจากจีนเลย ในไทยก็กำลังจะเป็น โรคไข้ปอดอักเสบจากฝุ่นแล้วค่ะ
24 ม.ค. 2563 เวลา 06.30 น.
ดูทั้งหมด