สำหรับใครที่ติดตามความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา - จีนแผ่นดินใหญ่กันมา ข้อพิพาทระหว่าง Huawei - Google ในตอนนี้น่าจะเป็นภาพของสงครามตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดกรณีหนึ่ง โดยล่าสุด แม้จะมีการผ่อนผัน ที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาเลื่อนเวลาให้ Huawei สามารถอัพเดท และรับเซอร์วิสต่าง ๆ จาก Google ได้อีก 90 วันเพื่อจะได้สามารถเปลี่ยนถ่ายจ่ายโอนการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น แต่หลังจากวันที่ 19 สิงหาคม 2019 ถ้ายังไม่มีการถอดชื่อของ Huawei ออกจากบัญชีดำของสหรัฐอเมริกา ก็คงแน่นอนแล้วว่า สงครามเย็นรอบใหม่ได้ปะทุขึ้นแล้ว โดยมีเรื่องของ "เทคโนโลยี" เป็นแกนกลางของความขัดแย้ง
หากจะย้อนไปนั้น สงครามเย็นเทคโนโลยี หรือ Tech Cold War อาจเริ่มขึ้นตั้งแต่การมีอินเทอร์เน็ต โดยเราจะเห็นว่า รูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐอเมริกานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากฝั่งโลกตะวันตกจะเน้นการเติบโต การขยายตลาดอย่างรวดเร็ว การเปิดให้ใช้งานฟรีแลกกับการนำข้อมูลของผู้บริโภคไปใช้ในการวางแผนโฆษณา ฯลฯ ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่นั้น แม้จะเติบโตไม่แพ้กัน แต่ก็เป็นการเติบโตที่โลกตะวันตกเยาะเย้ยว่ามีการเซ็นเซอร์เนื้อหาข้อมูล รวมถึงปิดกั้นผู้ประกอบการอย่าง Facebook, Google ฯลฯ ไม่ให้เข้าไปทำธุรกิจด้วย
สถานการณ์ความขัดแย้งผ่านไปนับสิบปี จน Facebook ท้อแท้แล้วท้อแท้อีก จีนก็ยังไม่เปิดให้ Facebook เข้าไปทำธุรกิจอยู่ดี แต่การปิดกั้นเหล่านั้นก็ไม่เคยมีปัญหา
แล้วทำไมวันนี้เพิ่งมาเป็นปัญหา?
หลายคนอาจมองว่ายิ่งจีนเติบโต สหรัฐอเมริกาก็ยิ่งได้ประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น กรณีของ Apple เองที่ว่าจ้างโรงงานผลิต iPhone ในจีนจนทำให้ได้สินค้าราคาดี และขายต่อทำกำไรได้งาม ๆ หรือในส่วนของตลาดอุปกรณ์เน็ตเวิร์ก ก็มีของถูกให้เลือกช้อปกันมากมาย
แต่ในอีกด้าน ก็ต้องยอมรับว่า จีนในวันนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Huawei ที่วางแผนก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดสมาร์ทโฟน - เทคโนโลยี 5G โลก และมียอดขายไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนหายใจรดต้นคอ Samsung ไปแล้วเรียบร้อย นอกจากนั้น จีนยังมีบริษัทอีกเพียบที่พร้อมจะก้าวข้ามโลกไร้พรมแดนอย่างอินเทอร์เน็ตเข้ามาแย่งชิงบัลลังก์ของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาทำจึงเปรียบได้กับการยกฉากกั้นประตูขึ้นมาแล้วบอกว่า "ถึงเวลาต้องสะกัดไม่ให้เธอ (จีน) โตไปมากกว่านี้แล้ว"
เมื่อต่างฝ่ายต่างปิดประตูใส่กัน ลูกค้าจะหันไปทางไหน
แม้จะยังไม่แน่ชัดว่า Tech Cold War จะเริ่มขึ้นหรือไม่ในวันที่ 19 สิงหาคม แต่ถึงวันนี้ก็ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีบทบาทต่อการใช้ชีวิตของผู้คนบนโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผ่านมา เราไม่เคยต้องกังวลว่าแพลตฟอร์มที่ต่างกันจะนำมาซึ่งปัญหา ดังนั้น การปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ Google ทำจึงถือเป็นเรื่องที่สร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นของผู้ผลิต และผู้บริโภคบนฝั่ง Android
โดยสิ่งที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้มีได้หลายทาง หนึ่งในนั้นคือการได้เห็นภาพของธุรกิจยักษ์ใหญ่ในจีนที่ลุกขึ้นมาแลกหมัดกับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว ด้วยการพัฒนาระบบปฏิบัติการ สร้างเทคโนโลยี และมาตรฐานด้านการออกแบบชิปของตัวเอง เพื่อให้ตลาดสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนยังเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมๆ กับตั้งกำแพงของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น (อาจมี Maps, Search, Mail ของตนเองเพื่อให้ Ecosystem สมบูรณ์) ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นสองโลกที่ผู้บริโภคต้องเลือกข้าง
หรือในอีกด้าน อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของจีนแผ่นดินใหญ่เอง เพราะรูปแบบการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีที่ผ่านมาก็ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้กับทุกฝ่าย
โดยฝ่ายที่ไม่ได้ประโยชน์มองว่า รัฐบาลจีนเทงบสนับสนุนเฉพาะบริษัทที่ยอมเป็นมือเป็นเท้าให้รัฐบาลเท่านั้น ส่วนบริษัทอื่นๆ ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐในครั้งนี้ จึงมีนักธุรกิจจีนบางส่วนกลับใจหันมาเป็นกองเชียร์โดนัลด์ ทรัมป์ และคาดหวังว่าแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา จะทำให้รัฐบาลสี จิ้นผิง เปลี่ยนแปลงตัวเอง และทำตลาดให้น่าแข่งขันมากขึ้น
งานนี้ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า Tech Cold War รอบนี้จะเกิดขึ้นจริง หรือเป็นแค่ซีซั่นใหม่ของ The Apprentice ที่มีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตรายการ
T.cho มันก็ต้องลองกันสักตั้งหนึ่ง จีนไม่ได้แสวงหาเรื่องเข้า แต่ศึกครั้งนี้จะเป็นบททดสอบจีนให้แกร่งยิ่งขึ้น. สหรัฐเองอาจจะต้องเจ็บหนัก ขณะที่จีนผ่านความยากลำบากมาแล้วจากสงครามต่างๆ ศึกครั้งนี้ทำได้แค่ให้จีนช้าลงเท่านั้น
23 พ.ค. 2562 เวลา 10.59 น.
suttichai ถ้าไอโฟนแพงกว่านี้คงไม่ซื้อแล้ว
23 พ.ค. 2562 เวลา 14.00 น.
tongma ถ้าทำขนาดนี้จีนยังอยู่ได้อย่างดีและสำเร็จ
คงเหลือสิ่งเดียวที่อเมริกาจะทำกับจีน
23 พ.ค. 2562 เวลา 08.29 น.
ao แดดมันไม่ค่อยร้อนว่างั้น
23 พ.ค. 2562 เวลา 05.56 น.
🅹🅰🆈 ⚡️ 🅽🅲🅼🅲 สรุปคือ อเมริกา กลัว จีน จะไปไกลกว่าตัวเอง ว่างั้น
23 พ.ค. 2562 เวลา 17.17 น.
ดูทั้งหมด