1. ถ้าไม่หายสงสัยจะไม่ลงมือปฏิบัติ หมายความว่า อะไร ๆ ก็ต้องเห็นด้วยตาก่อนจึงลงมือปฏิบัติ ต้องรู้ให้ได้ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง นิพพานมีจริง บุญบาปมีจริง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองจะไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย คนพวกนี้จึงได้แต่โต้แย้งในสิ่งที่ตนเองสงสัย ทำให้สูญเสียเวลาชีวิตไปเปล่า ๆ
2. เห็นประโยชน์และมีความศรัทธา แต่มีข้ออ้างมากมายเพราะความเกียจคร้าน คนเหล่านี้จะชอบทำบุญมากกว่าการภาวนา เพราะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ผิด แต่การทำบุญ ทำทาน ก็ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ากระแสความดีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงตัวแก่นของพระพุทธศาสนา
3. พูดมากเกินไป หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้ โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อย ๆ เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก
4. ติดความดีมากเกินไป หมายความว่า มุ่งมั่นในการทำสาธารณะประโยชน์มากเกินไป ช่วยเหลือผู้อื่นจนไม่มีเวลาช่วยเหลือตนเอง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปนาน ๆ มักจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง เพราะเก็บเรื่องความทุกข์ของผู้อื่นมาคิดจนวุ่นวายปวดหัวไปหมด สุดท้ายก็เกิดความท้อแท้ เพราะไม่เข้าใจว่า โลกคือสิ่งที่เราไปควบคุมไม่ได้
5. มุ่งอยู่กับความผิดของผู้อื่น หมายความว่า ใช้เวลาจับผิดคนทั้งโลก จนไม่มีเวลาจับผิดตนเอง วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นมากเกินไป คิดจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม แต่ไม่เคยเปลี่ยนตนเอง เพ่งโทษความผิดพลาดของผู้อื่น จนจิตใจตนเองขุ่นมัว ไม่มีความเบิกบานพอที่จะปฏิบัติธรรมได้เลย
6. ยึดติดกับรูปแบบ อัตลักษณ์ หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ ถ้าไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง
7. ทำ ๆ เลิก ๆ หมายความว่า เมื่อฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่า และลงมือปฏิบัติ หากแต่เป็นพวกขี้เบื่อ มีความเพียรน้อย ทำหนึ่งเดือน หยุดสองเดือน ในการปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด ผู้ปฏิบัติก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติเองอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนปฏิบัติไปไม่ถึงจุดแห่งมรรคผล แต่กลับล้มเลิกกลางคัน ทำให้ขาดประสบการณ์ทางจิต เมื่อเลิกไป แล้วกลับมาทำใหม่ ก็เท่ากับเริ่มต้นกันใหม่ไม่จบสิ้น ที่สุดแล้วก็เกิดความท้อแท้ คิดว่าตนเองเป็นผู้ไร้วาสนาไม่อาจเข้าถึงธรรมะได้ คนพวกนี้ก็มีไม่น้อยเลย
8. ปฏิบัติผิดวิธี หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้าย ๆ กับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร หาความรู้ที่ถูกต้อง ต้องหัดใช้หลักกาลามสูตร เช่นนี้ก็จะแก้ไขได้
9. ให้เวลากับทางโลกมากเกินไป หมายความว่า ไม่รู้จักการแบ่งเวลา ไม่รู้จักสร้างสมดุลให้ชีวิต คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายไปเรื่อยๆ ต้องสุข ต้องทุกข์ไปเรื่อย ๆ อาจอยู่ห่างไกลการพัฒนาจิตใจไปเรื่อย ๆ จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่จนทำให้เขาต้องกลับมาสร้างสมดุลชีวิตอีกครั้ง เป็นผลให้เสียเวลาปฏิบัติทางจิตไปมาก บางคนมาปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดี เนื่องจากสังขารไม่อำนวย นั่งทำสมาธิไปปวดไป ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลมจับ ล้มพับไปก็มี เป็นการเสียโอกาสเพราะความชราภาพโดยแท้
10. คนจมทุกข์ หมายความว่า เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง วัน ๆ เอาแต่ทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง จนเป็นคนเสพติดความเศร้า ความเหงาโดยไม่รู้ตัว นานวันเข้าก็เริ่มเป็นความเคยชินของชีวิต คนเหล่านี้จะชอบฟังธรรมะที่ปลอบประโลม ชอบให้คนอื่นปลอบ แต่ไม่ชอบช่วยตนเอง นิยมการใช้ธรรมะชั้นต้นเพื่อบำบัดทุกข์ แต่ในขั้นตอนของการปฏิบัติภาวนาจะไม่ชอบ ไม่มีกำลังใจพอที่จะเปลี่ยนตนเองได้เลย
11. ผู้ชอบดัดแปลงความคิดให้เป็นบวกอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองเห็นทุกอย่างเป็นด้านบวกไปหมด ชีวิตจึงไม่ค่อยได้สังเกตความทุกข์ตามความเป็นจริงเท่าไหร่ เมื่อไม่เห็นทุกข์ จึงมองไม่เห็นอริยสัจ 4 แม้ชีวิตจะมีความสุขในระดับโลกียะ แต่ไม่อาจเห็นธรรมในระดับโลกุตระ ทำให้กลายเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิดไปอีกนานแสนนาน
12. ฉลาดเกินไป หมายความว่า เป็นคนที่ตกเป็นทาสของความคิด ยึดติดอยู่กับการค้นหมายชีวิตเชิงปรัชญา คิดเอาเองว่า ความคิดจะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ คนพวกนี้จะถือความคิดเป็นใหญ่ ยึดติดอยู่กับการวิเคราะห์โดยไม่รู้ว่า มีภาวะบางอย่างที่เกินขีดความสามารถของสมองไปแล้ว คนกลุ่มนี้จะฉลาดทางโลก แต่กลายเป็นคนโง่ในทางธรรม
การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่คือทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งมวล เป็นการยากมากที่ใครสักคนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะได้พบกับศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเรามีคุณสมบัติครบบริบูรณ์เช่นนี้
ขอจงทำลายความโง่เขลาทั้ง 12 ประการนี้เสีย เร่งความเพียรของตนเอง เพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์โลก และประโยชน์แห่งการเข้าถึงภาวะนิพพาน พ้นไปจากที่สุดแห่งทุกข์ตลอดอนันตกาล
ก้ไม่มี...จะรุ้จักธรรมชาติได้อย่างไร
05 เม.ย. 2563 เวลา 02.19 น.
การเวียนว่ายตายเกิดเปนธรรมดาของสรรพสัตว์..ที่อยุบนโลก..เพื่อค้ำจุลช่วยเหลือเกื้อกุลกัน..ให้โลกใบนี้..ไม่แตกสลายไป..เปนความทุกข์หรือที่ต้นไม้ซักต้นจะเติบโตเพราะดินน้ำลมไฟ..ให้ดอกออกผลเพื่อสืบเผ่าพันธ์..ต่อไป..นกหนูหมูหมากาไก่..หรือแม้แต่คน..ได้พึ่งพิงอาศัย..ถ้าไม่มีสมดุลของดินน้ำลมไฟ..จะมีโลกใบนี้หรือไม่..ทุกข๋อย่างมันเกิดขึ้นเองเปนธรรมดา. และดับไปเปนธรรมดา..ที่ไม่ธรรมดาเพราะสัตว์นักล่า ที่คิดว่าตัวเองไม่ธรรมดาต่างหากที่ทำลายธรรมขาติทุกอย่างเพื่อความสุขของตัวเอง..แม้แต่ศีล5ข้อ เพื่อความธรรมดา
05 เม.ย. 2563 เวลา 02.13 น.
sirikorn ถูกทุกข้อ
29 มี.ค. 2563 เวลา 01.52 น.
ตาริน ก็ไม่ทำตามพระพุทธเจ้าปฏิบัติเลยซักอย่าง
....อ่านดูสิ
..พระพุทธเจ้าใช้ชีวิตเรียบง่ายยังไง..พุทธประวัติก็มี
.คำพุทธวจน...ที่ท่านบอกสอนก็มี
...แต่มัวบ้าไปฟังคำหลวงพ่อนั่น หลวงปู่นี้จนเลอะเลือน
... ไปทำคิดเองทำเองทั้งเพ ตีความเอาสะดวกเอาสบาย
...มุ่งแต่อามิสบูชา...ใช้เงินซื้อบุญ
...มากกว่าปฏิบัติบูชา
..หลักการก็อยู่ในศีล...ง่ายๆ แค่ศีล 5 ยังทำไม่ได้..หรือทำได้ไม่ทุกวัน..ไม่ประจำๆ
...
..บ้าวัด..ทั้งๆที่ธรรมะควรอยู่ที่บ้านและชีวิตประจำวัน...ไม่ใช่ที่วัด
27 มี.ค. 2563 เวลา 12.09 น.
BeeBee' หัวใจพระไตรปิฎก ๑ การไม่ทำบาปทั้งปวง ๒ การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๓ การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายทั้งปวง นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวงในไตรโลกอดีตปัจจุบันอนาคต ในศาสนาสอนแค่นี้ มันเอาเดรัจฉานวิชามาป้นเปเสีย ศาสนาสกปรกไปหมด เครืองราง ของขลัง อาจาร์สัก สัตว์เดรัจฉานมาไว้ในตัว พากันเชื่อผิดๆๆๆๆๆในศาสนา วัดต่างๆก็ไปเอา พระศิวะ นาราย คเนสวน มาไว้ในวัด พระพุทธศาสนาสอนให้ปฎิบัติธัมมะ ทำลาย กิเลส อาสวะ อนุสัย สังโยชน์ ทำลายกิเลส กรรม วิปาก
18 มี.ค. 2563 เวลา 08.09 น.
ดูทั้งหมด