ท่ามกลางกระแสของคดีฆาตกรรมหลายอย่าง มีอยู่คดีหนึ่งที่ทำให้ใครหลายๆ คนต้องมาทบทวนมุมมองที่เรามีต่อฆาตกรรมและสถาบันครอบครัวเสียใหม่ คดีนั้นคือคดีของครอบครัวหนึ่ง ที่มีสมาชิกสองคนคือ Dee Dee Blanchard ผู้เป็นแม่และ Gypsy Rose Blanchard ผู้เป็นลูกสาว
.
เมื่อสังคมได้ติดตามชีวิตของคู่แม่ลูกคู่หนึ่งที่รักกันมาก ผู้คนต่างชินตาที่มูลนิธิ รวมถึงสื่อโทรทัศน์หลายช่องได้รายงานถึงชีวิตของแม่ผู้ทุ่มเทชีวิตในการดูแลลูกสาวแสนดีที่ป่วยสารพัดโรค ที่มีเงื่อนไขทางร่างกายสูงจนเรียกได้ว่าพิการ พวกเขากลายเป็น 'Local Daring' หรือขวัญใจชุมชนที่ผู้คนต่างให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทั้งด้านค่าใช้จ่ายและการใช้ชีวิต จะเกิดอะไรขึ้น..เมื่อคืนหนึ่งดีดี้ผู้เป็นแม่ถูกฆาตกรรมอย่างรุนแรงโดยชายปริศนา และยิปซี ลูกสาวได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนเกิดเหตุ แถมยังมีการโพสต์สเตตัสในโซเชียลมีเดียที่ดีดี้ใช้อัพเดทชีวิตของยิปซีให้แฟนๆ ฟังในข้อความประมาณว่า ดีดี้ถูกฆ่าตายแล้ว และจะมีการข่มขืนยิปซีเป็นรายถัดไป
แน่นอนว่าสังคมต่างโกรธแค้นและประกาศตามล่าคนร้าย เพื่อหวังจะช่วยชีวิตสาวน้อยผู้น่าสงสารอย่างสุดกำลัง พ่อของยิปซีที่แยกทางไปนานแล้วก็อยู่ในอาการตื่นตระหนก เพราะยิปซีจะขาดการช่วยเหลือและยาที่จำเป็นหลายอย่าง อาจรุนแรงถึงตายได้ สื่อโทรทัศน์มากมายออก Breaking News ทันที โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า… ความจริงแล้ว 'ยิปซี' ที่ทั้งรัฐและสังคมรู้จักกันในฐานะของเด็กสาวแสนดีที่ป่วยสารพัดโรคนั้น ที่แท้คือหญิงสาววัยรุ่นที่แข็งแรง สมบูรณ์ทางร่างกาย สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ จะบิดเบี้ยวก็เพียงแต่หัวใจ เพราะเธอคือผู้จ้างวานฆ่าแม่ของตัวเอง
.
คำสารภาพของสาวยิปซีต่อชั้นศาลกล่าวว่า แม่ของเธอบังคับให้เธอป่วยเพราะอยากได้สิทธิพิเศษ สิทธิที่อยู่อาศัย
ดีดี้เริ่มกุอาการป่วยของยิปซีตั้งแต่เป็นทารกว่าเธอเป็นโรคหยุดหายใจเวลานอนหลับ แม้ว่าโรงพยาบาลขะยืนยันว่าไม่มี ดีดี้ตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลและดูแลลูกเหมือนเป็นคนร่างกายไม่ปกติ จิตใจของดีดี้สะสมความคิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ตอน 8 ขวบยิปซีแค่หกล้มและถลอก แต่ดีดี้กลับตัดสินใจให้เธอผ่าหัวเข่าทันที ส่งผลให้ยิปซีต้องใช้รถเข็นตลอดเวลา เพราะไม่อยากให้หัวเข่าที่ผ่าตัดทรุดลง และอาการป่วยของเธอแบบหลอกๆ ก็ลามปามขึ้นทุกที เธอเชื่อทุกอย่างที่แม่บอก ดูแลรักษาตัวเองตามสิ่งที่แม่ต้องการ เพราะเธอไม่เคยมีเพื่อน ไม่รู้จักคนอื่น นอกจากแม่ แม่คือโลกทั้งใบของเธอเธอถูกบังคับให้ใช้ชีวิตเป็น "เด็กหญิง" ตลอดเวลา แม้ว่าเธอจะอายุย่างเข้าวัยรุ่นก็ตาม ดีดี้ป้อนข้าวเธอ อุ้มเธอขึ้นและลงรถเข็น จัดการธุระส่วนตัวให้เธอทุกอย่าง ซึ่งความเป็นจริงแล้วปู่กับย่าของยิปซีเองก็สงสัยเรื่องการป่วยสารพัดโรคของหลาน แต่ดีดี้พาลูกสาวย้ายหนีไปเรื่อยๆ ไม่ตั้งถิ่นฐานในรัฐไหนนานเกินไป ส่วนคุณหมอที่แย้งการรักษาของดีดี้ ดีดี้ก็จะพาย้ายโรงพยาบาล ไม่กลับไปรักษาอีก โดยที่กว่ายิปซีจะเริ่มว่าเธอไม่ได้ป่วยอะไรอย่างที่แม่บอกเลยสักอย่างก็ 19 ปีแล้ว จากนั้นเธอจึงพยายามหาวิธีมีชีวิตรอดจากแม่ เพื่อใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ
.
เรื่องลวงโลกของดีดี้และยิปซีไปไกลมาก หลังจากที่ตำรวจได้ตีแผ่ความจริงว่า ยิปซีได้แอบแม่สร้างโปรไฟล์ในเว็บหาคู่ออนไลน์ และติดต่อผู้ชายคนหนึ่ง นิโคลัส โกดีจอห์น อายุ 24 ปี เพื่อขอร้องให้เขาร่วมมือกับเธอเพื่อความรักของทั้งคู่นั้น สื่อสำนักต่างๆ ก็ได้ตามไปสัมภาษณ์บุคคลใกล้ชิดของทั้งคู่ นั่นก็คือพ่อของยิปซี อดีตสามีของดีดี้ จากบทความของผู้สื่อข่าวของ ABC ที่สัมภาษณ์เอาไว้ พ่อของยิปซีแต่งงานกับดีดี้ตอนเธออายุ 24 ปี ร่างกายของยิปซีตอนคลอดเพอร์เฟกต์มาก แต่หลังจากที่ทั้งคู่ทะเลาะและมีความคิดจะแยกทางกัน ดีดี้ก็เริ่มเชื่อว่ายิปซีมีอาการหายใจไม่ออกตอนนอนหลับ และเขาก็เริ่มได้ข่าวเรื่องโรคร้ายต่างๆตามมา ตอนนั้นเขาเชื่อว่าดีดี้คือแม่ที่ดีที่สุดในโลก ไม่มีทางที่เขาจะทำในสิ่งที่ดีดี้ทุ่มเทให้ลูกได้ ถึงจะแต่งงานใหม่ แต่เขาเองก็กลับมาเยี่ยมยิปซีหลายครั้ง แต่ดีดี้ไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่กับลูกตามลำพัง จนกระทั่งพวกเขาขาดการติดต่อกับยิปซีไปเมื่อปี 2005 เพราะบ้านของดีดี้และยิปซีพังจากเหตุพายุเฮอริเคน มีการทำเรื่องย้ายไปอยู่ในบ้านที่มูลนิธิจัดหาไว้ให้ที่รัฐมิสซูรีเพื่ออำนวยความสะดวกให้ยิปซี
นี่ไม่ใช่สิทธิพิเศษอย่างเดียวที่ดีดี้ได้ในนามของยิปซี แม่ลูกคู่นี้เคยได้รับบริการเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวจากมูลนิธิต่างๆ เพื่อเดินทางไปรณรงค์เกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมของคนพิการ ได้รับคำเชิญพิเศษให้ยิปซีและดีดี้ไปเชียร์บอลติดขอบสนามระดับประเทศ ได้โอกาสไปสวนสนุกระดับโลกอย่าง Disneys Land ฟรีทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินที่องค์กรหรือมูลนิธิสนับสนุน นอกจากนั้นยังมีคนดังระดับโลกอีกมากมายที่ให้เงินช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวเป็นจำนวนหลายแสนบาท
.
สิ่งที่สะเทือนใจชาวโลกมากขึ้นไปอีกเกี่ยวกับคดีนี้ คือการเปิดเผยรายละเอียดในการสืบสวนของชั้นศาล ถึงช่วงแรกยิปซีจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของตำรวจทุกข้อหาและโยนความพิษให้นิโคลัสว่าเธอไม่ได้รู้และพยายามยืนยันกับพ่อว่า 'หนูไม่ได้ทำ พ่อก็รู้ว่าหนูรักแม่ หนูไม่มีทางทำอะไรแม่ได้แบบในข่าว และหนูยังเป็นเด็กน้อยของพ่ออยู่เสมอ' ภายหลังจากที่ตำรวจสามารถหาหลักฐานยืนยันความผิดได้ ยิปซีก็เข้าสู่กระบวนการรับโทษเต็มรูปแบบ เธอผมยาวเป็นสีน้ำตาลสุขภาพดี สามารถเดินขึ้นมาให้การได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพารถเข็นอะไรอย่างที่เคยเข้าใจ เธอตอบโต้และพูดจาได้เหมือนผู้ใหญ่วัยกลางคนปกติ ไม่มีอาการพัฒนาการช้าอย่างที่สังคมรับรู้
ยิปซีได้กล่าวถึงความเจ็บช้ำที่ตัวเธอต้องเจอ เธอต้องพูดและทำท่าทางเหมือนเด็กที่มีสมองในช่วงวัย 7 ขวบตลอดเวลา ถูกบังคับให้โกนหัวอยู่เสมอเพื่อให้สมบทบาทของการเป็นผู้ป่วยลูคิเมีย ที่สำคัญเธอต้องทานยาเป็นจำนวนมากทั้งที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงคือเสียงของยิปซีที่แหลมและเหมือนเด็ก เนื่องจากยิปซีไม่สามารถแยกออกและหาเจอจริงๆแล้วว่า เสียงดั้งเดิมแบบ original ของตัวเธอนั้นเป็นอย่างไร
แผนการที่ยิปซีวางไว้ในขั้นตอนก็ไม่ใช่เรื่องรุนแรง เธอแค่ต้องการพูดกับแม่เรื่องความรัก ยิปซีแอบพัฒนาความสัมพันธ์ด้วยอินเทอร์เน็ตกับนิโคลัสนานถึง 2 ปี ก่อนจะวางแผนแต่งงานด้วยธีมสีขาวและกุหลาบแดง ยิปซีต้องการให้แม่ได้เจอกับแฟนหนุ่มที่เข้าใจในเงื่อนไขร่างกายของเธอทุกอย่าง นิโคลัสยอมรับได้ในทุกอย่างที่ยิปซีเป็น แต่ปฏิกริยาของผู้เป็นแม่อย่างดีดี้กลับน่าเป็นห่วง เธอรับไม่ได้ที่ยิปซีจะไม่ใช่เด็กอีกต่อไป เธอไม่ต้องการให้ยิปซีเติบโตและใช้เวลากับโลกภายนอกมากกว่าตัวเธอ ดีดี้สั่งการเด็ดขาดให้ยิปซียุติความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เธอใช้คำหยาบคายกับดีดี้ แม้กระทั่งคำว่าร่านและโสเภณี ดีดี้กักขังและตัดการติดต่อของยิปซีและโลกภายนอกทุกอย่าง เธอโดนดีดี้ล่ามไว้ที่เตียง ทุบคอมพิวเตอร์ เอากระดาษาดำปิดหน้าต่างมในห้องนอนจนหมด และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกห้องนอนอีก ประตูของเธอถูกเปลี่ยนการลงกลอนจากภายใน เป็นลงกลอนจากข้างนอกแทน
.
นักข่าวได้ถามยิปซีว่าเธอเกลียดแม่หรือเปล่าถึงทำแบบนั้น นักโทษสาวได้แต่กล่าวว่า"ฉันต้องการให้แม่ตาย ไม่ใช่เพราะความเกลียด แต่เป็นเพราะฉันต้องหนีออกมาจากเธอให้ได้"
สุดท้ายความสิ้นหวังเปลี่ยนจากการวางแผนหลบหนี การต้องการให้ยอมรับ ไปสู่การวางแผนฆาตกรรมแทนอย่างน่าเศร้า ทุกวันนี้ยิปซีอาศัยอยู่ในคุก ทาเล็บ ไว้ผมยาว เดินเหิน และทำกิจกรรม เป็นผู้หญิงบานสะพรั่งเต็มตัวหนึ่งคน และมีความสุขยิ่งกว่าตอนอยู่ข้างนอก
สุดท้ายเราอาจต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถตัดสิน 'ขาว' และ 'ดำ' ออกจากกันได้อย่างชัดเจน คดีนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งคดีที่ตอกย้ำกับเราได้จริงๆว่า บางครั้งสิ่งที่เราเป็นก็ไม่ใช่สิ่งที่เห็นสักทีเดียว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนเทียบเท่ากับที่น่าสนใจ และมนุษย์เองก็สามารถทำเรื่องที่เลวร้ายได้เทียบเท่ากับความสามารถในการทำเรื่องดีงามได้ แต่ที่แน่ๆ บทเรียนจากเรื่องนี้ถอดออกมาได้ว่าสถาบันครอบครัวคือสถาบันหลักที่หล่อหลอมจิตใจและความคิดของทุกคนบนโลกใบนี้อย่างแท้จริง และการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่เคยให้อะไรแง่บวกคืนกลับมา ต่อให้ยิปซีเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง แต่ยิปซีก็แค่หนีออกจากกรงหนึ่งเพื่อมาอยู่อีกกรงหนึ่งก็เท่านั้น
.
ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์
.
NAS เคยดูซีรีย์ที่เค้านำเรื่องนี้ไปทำ ที่จริงในมุมมองเราคือน่าสงสารทั้งแม่และลูก ตัวแม่อาจจะมีโรคจิตอะไรสักอย่าง ปมเลยไปลงที่เด็ก เราจะโทษเด็กฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะเค้าก้มีแผลที่แม่ทำไว้
22 ก.พ. 2563 เวลา 09.48 น.
Tany Extreme case of 'Munchausen syndrome by proxy'.
22 ก.พ. 2563 เวลา 09.07 น.
X ไปทำเป็นซีรี่เรื่อง the act สร้างดีมาก นักแสดงทุกคนสุดมาก
22 ก.พ. 2563 เวลา 10.54 น.
Kingkong เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
22 ก.พ. 2563 เวลา 10.55 น.
_SirAlex เอาไปทำหนัง
22 ก.พ. 2563 เวลา 07.34 น.
ดูทั้งหมด