แพทย์ ประกาศ! พื้นที่เสี่ยง ย้ายจากกรุงเทพไปต่างจังหวัดแล้ว ห่วงผู้สูงอายุ-คนมีโรคประจำตัว เสี่ยงอาการรุนแรง หลังพบป่วยหนัก 17 ราย อยู่ภูมิภาคเกินครึ่ง ย้ำสังเกตอาการ คนกลับจากกทม.ให้ดี ระบุระยะฟักตัวเฉลี่ย 5-7 วัน ด้านกลุ่มสนามมวย-สถานบันเทิง ยังพบป่วยอีกต่อเนื่อง
วันนี้ ( 28 มี.ค.) ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 109 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 1,245 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นรายที่ 6 กลับบ้านเพิ่ม 3 ราย รวมผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้ว 100 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,139 ราย
ผู้ป่วยกลุ่มใหม่ แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จำนวน 39 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 10 ราย กลุ่มสถานบันเทิง 8 ราย และกลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 21 ราย
กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 17 ราย ได้แก่ กลุ่มที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง เป็น คนไทย 6 ราย กลับมาจาก สหรัฐ อินเดีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น และคนต่างชาติ 2 ราย จากยูเครน และโปรตุเกส
และมีกลุ่มผู้ทำงาน หรืออาศัยในสถานที่แออัด ต้องใกล้ชิดคนจำนวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 7 ราย ทำงานร้านนวด สปา พนักงานต้อนรับ ทำงานในร้านอาหาร เป็นเชฟ ร้านขายเครื่องประดับ และบุคลากรทางการแพทย์ 2 ราย รวมเมื่อวาน 9 ราย เป็นติดเชื้อ 11 ราย
กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ได้รับผลยืนยัน ทางห้องปฏิบัติการ พบเชื้อ แต่อยู่ระหว่างรอประวัติ และสอบสวนโรค 53 ราย กระจายในจังหวัด เชียงราย นนทบุรี ปทุมธานี สมุมทรสาคร มุกดาหาร ภูเก็ต ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และกทม.
สำหรับผู้ป่วยที่เสียชีวิต 1 ราย เป็นหญิง อายุ 55 ปี มีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี และไขมันในเลือดสูง เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ด้วยอาการหอบเหนื่อย ตรวจพบปอดอักเสบรุนแรง ต่อมาต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ส่วนผู้ป่วยอาการหนัก 17 ราย มีอาการปอดอักเสบ ใส่เครื่องช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอาการใกล้ชิด ในจำนวนนี้ 1 รายใช้เครื่อง ECMO อาการอยู่ในภาวะวิกฤต รับการรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ กลาโหม และกทม. จำนวน 12 ราย ส่วนอีก 5 รายอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี เพชรบูรณ์ นครราชสีมา และบุรีรัมย์ มีอายุระหว่าง 31-76 ปี และมีประวัติเสี่ยงทำงานที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว อาทิ ขับรถบริการ พนักงานร้านนวด และไปสนามมวย
จากการประมวลข้อมูลผู้ป่วย พบว่า ผู้ป่วยอายุน้อยที่สุด 6 เดือน มากที่สุด 84 ปี หรืออายุเฉลี่ย 40 ปี ระยะแรกของการเจอดคลัสเตอร์สนามมวย และสถานบันเทิง พบผู้ป่วยอายุน้อย ช่วงอายุ 20-29 ปี 30-39 ปี และ 40-49 ปี แต่ระยะหลัง เราพบผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 19 ปีก็มี และสูงกว่า 60 ปีก็มี และพบผู้ป่วยชายมากกว่าหญิง
สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ ที่พบนอกจากจะเป็นกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในสถานบันเทิง สนามมวย ที่มีรายงานผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังพบเป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ผู้มีอาชีพเสี่ยง เช่น ทำงานในสถานที่แออัด ใกล้ชิดสัมผัสกับชาวต่างชาติ แสดงให้เห็นว่าประชาชนบางส่วน ยังไม่งดการเดินทาง และยังมีการป้องกันตัวเอง ไม่ดีพอในขณะทำงาน จึงขอย้ำเตือนให้ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)
"เราพบว่า ผู้ป่วยรายใหม่ ยังเป็นกลุ่ม สนามมวย และสถาบันบันเทิง ที่กลับมามีรายงานอีก แปลว่า 2 เหตุการณ์นี้ยังไม่จบ โดยเฉพาะสนามมวย เพราะ มี 5 รายการมวยใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ตามมาด้วยรายการที่ สนามมวยลุมพินี และราชดำเนิน 6 และ 15 มีนาคม ทุกสนามปิดเมื่อ 22 มีนาคม วันนี้จึงยังพบผู้ป่วยกลุ่มนี้ "
นพ.อนุพงศ์ ย้ำว่า จากการเฝ้าดูหลังกทม.ประกาศปิดหลายสถานที่ จากนั้นมีผู้คนเดินทางออกต่างจังหวัดนับแสนคน หลังจากนี้เราจะเห็นผู้ป่วยในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น จากการเก็บข้อมูลช่วง 12-18 มีนาคม ผู้ป่วยกระจายออกไปในภูมิภาค 57 จังหวัดแล้ว ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 1,245 ราย อยู่ในกทม. 515 ราย พบกระจายอยู่ในภูมิภาค ปริมณฑลของกทม.พบถึง 68 ราย ภูเก็ต 41 ราย จังหวัดทางชายแดนใต้ ก็มีตัวเลขผู้ป่วยสูง สงขา 22 ราย เพิ่ม 2 ปัตตานี้ 34 ราย เพิ่ม 5 ราย นราธิวาส 8 ราย ยะลา 29 ราย เพิ่ม 3 ราย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ย้ำว่า สิ่งที่เรากังวล และต้องการให้ประชาชนรับทราบ คือ ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมีอาการรุนแรงและเสียชีวิต หากเทียบภาพรวมทั่วโลกป่วย 100 คน 80 คน จะอาการน้อยถึงน้อยมาก แทบเรียกว่าไม่ป่วยเป็นโควิด แต่จะมีสัดส่วน 5% เสียชีวิต สำหรับผู้ป่วยเสียชีวิตในไทย 6 ราย จากผู้ป่วย 1,245 คิดเป็น 0.5 % ถือว่าต่ำเมื่อเทียบ กับประเทศอื่น
หากเรามาโฟกัสอายุ ผู้เสียชีวิต 2 ราย อายุเกิน 70 ปี ส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรง 17 ราย อายุเกิน 60 ครึ่งหนึ่ง ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวเรื้อรังตามวัย ที่พบบ่อย คือ เป็นความดัน เบาหวาน ไต บางคนรักษามะเร็งอยู่ด้วย ซึ่งมักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าคนปกติ กลุ่มเหล่านี้จำเป็นต้องระวังการติดเชื้อเป็นพิเศษ เพราะเมื่อติดเชื้อ จะมีโอกาป่วยรุนแรงมากกว่าคนไม่มีโรคประจำตัว
จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ปกป้องไม่ให้ผู้สูงอายุติดเชื้อ เพราะเป็นกลุ่มเปราะบาง และเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้นหากใครมีญาติผู้ใหญ่ในบ้าน ต้องระวังไม่ให้ได้รับเชื้อ ซึ่งคนพาเชื้อเข้าบ้าน มักเป็นคนอายุน้อยในบ้านนั่นเอง
"จึงแนะนำมาตลอด ให้คนกลับจากกทม.และปริมณฑล ที่พากันกลับบ้านเป็นแสนคนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แยกตัว เมื่อเดินทางไปถึงภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ลดโอกาสถ่ายทอดเชื้อไปให้คนที่บ้านในต่างจังหวัด"
*" ตอนนี้ความเสี่ยงอยู่ที่ต่างจัหวัด โดยใน 17 รายที่ป่วยหนัก อยู่กรุงเทพไม่ถึงครึ่งแล้ว ผู้ป่วยในต่างจังหวัดกำลังเพิ่มขึ้น จึงขอให้จับตาดู คนมีอาการไข้ และทางเดินหายใจ หลังกลับจากกรุงเทพ หรือจังหวัดใหญ่ๆ หากเจอต้องก็รีบแจ้ง กักตัว โดยปกติจะมีอาการหลังรับเชื้อ 2 วัน หรือโดยเฉลี่ย 5-7 วัน อาทิตย์แรก อาการจะน้อย อาทิตย์ต่อมา อาการจะหนักขึ้น " *
อย่างไรก็ตามเห็นว่า การดำเนินงานในภูมิภาค ทำได้ดีกว่าในหลายเรื่อง เป็นเพราะประชาชนให้ความร่วมมือ และชุมชนรู้จักกันดี เป็นสังคมชนบทที่ห่วงใยกัน หลายคนก็แยกตัว 14 วันอย่างเข้มงวด ไม่สัมผัสคนในพื้นที่ การแพร่เชื้อก็น่าจะน้อย เราก็อยากเห็นตัวอย่างแบบนี้ในทุกๆที่ รวมไปถึงจังหวัดที่ยังไม่พบผู้ป่วยด้วย
นพ.โสภณ บอกอีกว่า ไทยมีมาตรการดีกว่าในหลายประเทศ และเราจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อลดการป่วย และเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ขอย้ำว่า โรคนี้ติดโดยทางเดินหายใจ ซึ่งป้องกันยากมาก เมื่อเทียบกับโรคที่ติดโดยอาหาร น้ำ และเพศสมพันธ์ แต่ความพยายามของทีมแพทย์ของเราช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ป้องกันคนป่วยได้จำนวนมาก
หากไม่ทำอะไรเลย ยืนยันว่า จะมีผู้ป่วยมากกว่านี้ อาจสูงกว่าประเทศที่กำลังมีผู้ป่วยล้ำหน้าไปไกลแล้ว จึงอยากให้มั่นใจว่าเราดำเนินมาตรการทุกอย่างทางวิทยาศาสตร์ และถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อปกป้องคนไทย แต่จะทำได้ดีกว่านี้ หากได้รับความร่วมมือจากประชาชน
" ผมยืนยันว่า ไม่เคยเห็นการระบาดใหญ่ที่ทุกคนช่วยกันเต็มที่เท่านี้ เราเว้นระยะห่าง และปฏิบัติตัวเอง และช่วยกันกระตุ้นคืนอื่นด้วย นำมาซึ่งคนป่วยไม่มาก ขณะเดียวกัน ทุกคนที่ป่วยก็ได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐาน หากได้รับความมือไปตลอด จะเดือนเมษายน หรือปลายปี ก็ตาม เราจะเสียหายน้อยที่สุด "
นพ.อนุพงศ์ ย้ำอีกรอบว่า ตอนเรามีตัวเลขผู้ป่วยสูงสุด 188 คน หรือเพิ่มขึ้น 33% ก็มีการประเมินว่า หากเราไม่ทำอะไรเลย ประเมินว่าเราจะมียอดผู้ป่วยไปถึง 3,500 คนในเดือนเมษายน และจะเป็นเหมือนอิตาลี และอิหร่านแน่นอน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมถึงหลังมีพรก.ฉุกเฉิน เราได้ทำอะไรไปมากพอสมควร ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน หยุดอยู่บ้านเพื่อชาติ จะทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง
- อัพเดทสถานการณ์ ‘ไวรัสโควิด-19’ วันที่ 28 มีนาคม 2563
- อัพเดทวันนี้ !! พื้นที่เสี่ยง ‘โควิด-19’ ทั่วไทย
- ยอดป่วย ‘โควิด-19’ ทั่วโลกทะลุครึ่งล้าน ‘วัคซีน’ ต้องรออย่างน้อย 12-18 เดือน
; ถ้าสนามมวยเลื่อนชก ปิดผับ บาร์ จะมีผู้ป่วยโควิดกี่คน พวกทำลายประเทศและสังคมทั้งนั้น โครตเลวจริงๆ
28 มี.ค. 2563 เวลา 09.36 น.
หนุกหนาน หมอเตือนมาตลอด แต่ไม่เห็นปิดเมือง กทม.สักที อ้างนู่นนี่นั่นมาตลอด ทั้งๆ ที่ประชาชนยินยอมให้ปิดเมือง สุดท้ายมาทำตอนนี้มันก้อไม่ทันแล้ว อีกไม่กี่วันยอดพุ่งแน่
28 มี.ค. 2563 เวลา 11.04 น.
... ถุย...
28 มี.ค. 2563 เวลา 09.09 น.
Waraporn(Xiu Lan) ตอนนี้กทม.กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงสุดๆ ที่กระจายเชื้อไปต่างจว. ควรใช้มาตรการปิดประเทศไม่ให้นำเข้าเชื้อโควิด ปิดพื้นที่/จังหวัดที่มีการระบาดของโรคเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปพื้นที่อื่น ทุกคนต้องป้องกันตัวเอง ระวังไม่ให้ตนเองติดเชื้อจากคนในครอบครัวและคนอื่นๆ
28 มี.ค. 2563 เวลา 10.00 น.
❤ Sandy ❤ โรคของคนเมืองไฮโซมาต่างจังหวัด พวกคุณสงสารชาวบ้านเขามั่งนะ เขาไม่ได้รวยมีเงินรายได้อย่างคนเมือง
28 มี.ค. 2563 เวลา 16.56 น.
ดูทั้งหมด