ไอที ธุรกิจ

หมอกควันยังจางไม่สุด ยังไม่ใช่เวลาซื้อหุ้นไทย

Businesstoday
เผยแพร่ 07 เม.ย. 2563 เวลา 03.55 น. • Businesstoday

หุ้นไทย อ่วม!! วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเศรษฐกิจไทย แม้หุ้นไทยจะฟื้นกลับมายืนเหนือ1,000 จุด แต่เมฆหมอกของวิกฤตยังไม่จางลงยังไว้ใจอะไรไม่ได้ หากวิเคราะห์ในเชิงพื้นฐาน แทบไม่มีกลุ่มอุตสาหกรรมใดในตลาด หุ้นไทย จะพลิกฟื้นมาช่วยดันSET Index ได้เลย

ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยตอนนี้(6 เมษายน2563) ดัชนีSET Index ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดของรอบล่าสุดที่966 จุดมาอยู่ที่1,138 จุด เป็นการปรับตัวขึ้น17%

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

P/E ล่าสุดของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ13.1 เท่า ซึ่งหากเปรียบเทียบกับวิกฤตซับไพร์มในครั้งก่อนP/E ของSET Index เทรดกันอยู่ที่เลขตัวเดียว โดยเคยลงมาเทรดกันที่P/E 5 เท่าและค่าเฉลี่ยP/E ของ หุ้นไทย อยู่ที่ระดับ8-12 เท่า หมายความว่าการที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแล้ว27.89% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ยังไม่ได้ทำให้หุ้นไทย“ถูก”

ประกอบกับวิกฤตรอบนี้ส่งผลกระทบไปยังภาคธุรกิจจริง(Real Sector) ต่างจากรอบที่แล้วที่กระทบเพียงแค่ภาคการเงิน และกระทบกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทยเขาอย่างจังนั่นคือการท่องเที่ยว

ตัวเลขจากสภาการเดินทางและท่องเที่ยวโลกระบุว่าประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้จากภาคการท่องเที่ยวเทียบต่อจีดีพีสูงถึงระดับ22% ซึ่งสูงที่สุดในโลก รองลงมาคือฟิลิปปินส์ที่21% และเม็กซิโก16% ตามด้วยสเปนและอิตาลี

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึงเกือบหนึ่งในสี่ของจีดีพีไทย และวิกฤตรอบนี้ได้ทำลายอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน จึงน่าจะบอกได้ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เราเห็นในวันนี้…วันพรุ่งนี้อาจเลวร้ายกว่า

บทสรุปภาพรวมของดัชนีSET Index ณ ตอนนี้ยังไม่สะท้อน“ความเสียหาย” ที่แท้จริงซึ่งเกิดจากไวรัสโควิด-19 แม้ผลประกอบการไตรมาสแรกที่ออกมาก็ยังไม่สะท้อนความจริง เพราะผลกระทบเกิดขึ้นเพียงแค่เดือนมีนาคมเดือนเดียว

แนะนำให้รอผลประกอบการไตรมาสสองซึ่งครอบคลุมเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงก่อนค่อยตัดสินใจลงทุน เพราะคาดว่าน่าจะมีการปรับลดกำไรต่อหุ้น(EPS)ของตลาดหุ้นไทย  ลงจากผลประกอบการที่แย่ลง ทำให้ดัชนีในตอนนี้อาจจะ“แพง” ก็เป็นได้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
หุ้นไทย

หุ้นสื่อสาร-ประกัน-อาหารมีโอกาสเป็นพระเอก

เมื่อวิเคราะห์เชิงคุณภาพในรายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะSector ที่มีน้ำหนักในSET Index สูงๆจะพบว่าในเชิงปัจจัยพื้นฐานแทบไม่มีอุตสาหกรรมไหนที่จะช่วยดันตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้เลย

กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

ผลกระทบจากการคมนาคมขนส่งทั้งทางอากาศ ทางน้ำและทางบก ย่อมส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงอย่างแน่นอน ยังไม่นับสงครามราคาน้ำมันโลกที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ซาอุดิอาระเบียสามารถกดราคาน้ำมันไว้ที่ระดับ20 เหรียญต่อบาร์เรลได้สบายแถมยังจะเร่งผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก ทำให้โอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นแรงๆเป็นไปได้ยากมาก หุ้นกลุ่มพลังงานจึงไม่น่าที่จะมีผลกำไรเติบโต และต้องจับตาผลการขาดทุนสต๊อกน้ำมันในไตรมาสแรกอีกด้วย

ปัจจัยบวกเดียวที่พอจะมีคือการนำPTTOR เข้าตลาด หุ้นไทย ในปีนี้ซึ่งพอจะช่วยให้PTT มีกำไรพิเศษบุ๊คเข้ามาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระยะสั้นเท่านั้น

กลุ่มธนาคารพาณิชย์

เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดูแล้วมีแต่ปัจจัยลบรออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาลงซึ่งจะกดดันให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยซึ่งถือเป็นอัตรากำไรของธนาคารลดลง รวมถึงการออกนโยบายช่วยเหลือลูกค้าทั้งการลดต้นลดดอกซึ่งจะส่งผลต่อผลประกอบการของธนาคารในระดับหนึ่ง

ระดับต่อไปคือหนี้เสียหรือNPL ที่อาจจะเกิดขึ้นหากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่จบลงในระยะสั้น จะทำให้ภาคธุรกิจและบุคคลธรรมดาผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต

แม้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะปรับตัวลดลงอย่างมากจนทำให้P/BV ต่ำกว่า1 แต่ปัจจัยเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้าทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารดูยังไม่น่าลงทุน

กลุ่มค้าปลีก

แม้ช่วงที่ผ่านมาจะเกิดการแห่ซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกแต่นั่นน่าจะเป็นเพียงดีมานด์ในระยะสั้นเท่านั้น ระยะยาวหาเศรษฐกิจชะลอตัวนานเกินไปและผู้คนตกงานจำนวนมาก กำลังซื้ออาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ส่วนกิจการค้าปลีกที่มีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่จะกระทบหนักกว่ากลุ่มที่มีรายได้จากส่วนแบ่งยอดขาย เพราะต้องลดค่าเช่าลงหรืออาจจะมีผู้ยกเลิกการเช่าจำนวนมากหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น

กลุ่มท่องเที่ยวและขนส่ง

ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง การที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกหยุดชะงัก ย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ของAOT อย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและสายการบินซึ่งกระทบหนักที่สุด นาทีนี้ถือการพิสูจน์ว่าใครจะอึดกว่ากัน ถ้ายังไม่เลิกกิจการไปเสียก่อน หากไวรัสโควิดสามารถคลี่คลายลงได้เช่นรักษาหายหรือมีวัคซีนป้องกันได้แล้ว ผู้คนจะแห่กลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นเพียงแค่การวิเคราะห์เชิงคุณภาพในรูปแบบTop Down อาจจะมีหุ้นบางตัวที่สามารถพลิกโมเดลธุรกิจใหม่ในภาวะวิกฤตจนสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตสวนทางภาพรวมอุตสาหกรรมได้

รวมถึงยังไม่ได้วิเคราะห์รวมไปถึงมาตราการอัดฉีดทางด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งอาจทำให้ตลาด หุ้นไทย ตอบรับในเชิงบวกล่วงหน้าจนเกิดเป็นV Shape ได้เช่นกัน

ในช่วงเวลานี้คือจังหวะที่ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและที่สำคัญ“อย่าใจร้อน” ไล่ซื้อหุ้น เพราะหมอกควันของวิกฤตยังไม่จางลง ยังไม่เห็นทางข้างหน้าว่ามีอุปสรรคอะไรรออยู่  ไม่จำเป็นต้องเล่งซื้อหุ้นจนหมดพอร์ตในตอนนี้

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทฤษฎีเกมส์ “ซาอุดิอาระเบีย” ดิ้นเฮือกสุดท้ายขอคุมราคาน้ำมันโลก

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่าตามที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก. การบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ของภาครัฐ (เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563) เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโค วิด-19 โดยห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เริ่ม 3 เมษายน 2563 กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเดินหน้าตามแผนดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan)

โดยเปิดซื้อขายได้ตามปกติ ทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) และการดำเนินงานของ บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) เป็นไปอย่างต่อเนื่อง หุ้นไทย

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 1
  • Worz_Li
    👏+👍
    07 เม.ย. 2563 เวลา 13.54 น.
ดูทั้งหมด