หมายเหตุสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563
พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. ที่ปัจจุบันผันตัวมาทำงานด้านการศึกษา แล้วใช้เวลาว่างไปร่วมทำงานกับกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า มองถึงความไม่พอใจผลงานและการทำงานของรัฐบาลที่กระหน่ำถาโถมในเวลานี้ มาจากหลายมุม
ประการแรกคือ ความไม่พอใจเกี่ยวกับระบบการเมืองปัจจุบัน หลายคนมองที่มาของรัฐบาลนี้ไม่ได้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ยังอยู่ในยุคที่สืบทอดอำนาจอยู่
แถมมีระบบสองมาตรฐาน ที่สุดท้ายแล้วใครจะทำถูก-ทำผิด ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาทำอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นคนของใคร
รวมถึงที่มาจากการรัฐประหารและการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เนื้อหาสาระห่างจากความเป็นประชาธิปไตย
ไอติมชวนคิดคณิตศาสตร์ง่ายๆ การเลือกนายกรัฐมนตรี 750 เสียง (ส.ส. 500+ส.ว. 250) 500 เสียง ส.ส.มาจากประชาชนประมาณ 38 ล้านคนที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แสดงว่าถ้าคิดเป็นตัวเลขแล้วประชาชนทุกคนมีโอกาสกำหนดว่าใครจะเป็นนายกฯ 0.0000017% จากที่มีจำนวนประชากรที่ 60 กว่าล้านคน
แต่เมื่อเราหันไปดู ส.ว.ที่ดันมาจากคณะกรรมการสรรหาแค่ 10 คน ซึ่ง 3 คนใน 250 ก็มีการแต่งตั้งพี่น้องตัวเองเข้ามา อีก 5-6 คนแต่งตั้งตัวเองเข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ถ้าคิดตัวเลขตาม เท่ากับว่าคณะกรรมการสรรหา ส.ว. 1 คนมีสิทธิ์กำหนดนายกรัฐมนตรี 3.3% เมื่อเทียบกับ 0.0000017% ของประชาชน ห่างกันสองล้านเท่า นั่นหมายความว่าคณะกรรมการสรรหา 1 คนมีอำนาจมากกว่าประชาชน 1 คนถึงสองล้านเท่า
ซึ่ง 5-6 ปีนี้ความไม่พอใจกับระบบที่ท้ายที่สุดแล้วเรายังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แล้วมีฟางเส้นสุดท้ายคือการยุบพรรคการเมืองที่ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องออกมาแสดงพลังมากขึ้น
หากเราดูป้ายข้อความข้อเรียกร้องจากคนรุ่นใหม่มันไปไกลกว่าแค่เรื่องยุบพรรค
มันย้อนไปตั้งแต่เรื่องสองมาตรฐาน ความไม่ชอบธรรมทั้งหมดที่เคยมีมา โดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนหลัง
มันมีอีก 2 มุมที่คนไม่พอใจรัฐบาล มุมแรกคือ ความไม่มั่นใจในความสุจริตของรัฐบาลนี้หลายกรณี เช่น เรื่องมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกักตุนหน้ากากอนามัยในปัจจุบัน ทำให้หลายคนมองว่ารัฐบาลอาจจะไม่มีความโปร่งใส บริหารไม่ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล
และความไม่พอใจประการต่อมาคือ การบริหารจัดการวิกฤต ที่ผ่านมาวิกฤตเศรษฐกิจที่เราเห็นว่าเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ทั้งการแข็งตัวค่าเงินบาททำให้การส่งออกสะดุด หรือการเจริญเติบโต GDP ที่ไม่กระจายไปสู่ทุกระดับรายได้
แล้วมีจุดตอกย้ำ คือการบริหารวิกฤตจัดการปัญหาไวรัสโควิด-19 ที่มองว่ารัฐบาลมีประสิทธิภาพไม่พอ
พอนำเอาข้อครหาเรื่องประชาธิปไตยมาบวกกับข้อครหาเรื่องการทุจริต+กับคำถามถึงประสิทธิภาพการบริหารเศรษฐกิจและวิกฤตต่างๆ มันเลยกลายเป็น 3 มุมของความไม่พอใจ ที่มาขมวดลงให้เราเห็นในปัจจุบัน
ทำให้มีการแสดงออกถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลง
พริษฐ์บอกว่า ถ้าหากผมเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ผมมองว่าเราต้องเข้าใจก่อนว่าในประเทศหนึ่งเราไม่ได้ต้องการที่จะเห็นประชาชนทุกคนมีความคิดเหมือนกัน
แต่คำถามคือ จะทำอย่างไรให้ประชาชนที่คิดแตกต่างกัน ชอบการเมืองคนละพรรค สามารถอยู่ร่วมกันได้
การอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความแตกต่างทางความคิดมันเกิดขึ้นได้อย่างเดียว คือต้องมีกติกาที่เป็นกลาง และทุกคนยอมรับ
เราก็ยอมรับผลความพ่ายแพ้ได้ ถ้าเราอยู่ภายใต้กติกาที่เป็นกลาง
รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับมีกลุ่มที่สนับสนุนแล้วได้ประโยชน์ กล้าพูดกันอย่างเปิดเผยว่าเขียนขึ้นมาเพื่อเรา เขาภูมิใจมากกับประโยคนี้ที่ได้พูดออกมา
แต่บางคนบางกลุ่มที่คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับถูกจับกุม เพียงเพราะว่าแสดงความเห็นต่าง
เราจะเห็นว่าพอใครพูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญขึ้นมาก็จะถูกตีตราว่าเป็นคนชังชาติ
ในขณะที่คนที่ลุกขึ้นมาฉีกรัฐธรรมนูญ กลับถูกมองว่าเสียสละเพื่อแผ่นดิน
มันกลายเป็นว่ามันมีระบบสองมาตรฐาน ที่ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ได้มีกติกาจะเป็นกลางเลย
ยิ่งถ้าเราลงไปดูในรายละเอียด เช่น เรื่องของการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ฝ่ายการเมืองฝ่ายหนึ่งที่มีอดีตนายกฯ แต่งตั้งคณะสรรหากลุ่มหนึ่ง เพื่อให้เลือก ส.ว.แล้วเลือกตัวเองกลับเข้ามาเป็นนายกฯ มันก็คือผลประโยชน์ทับซ้อนที่ตอกย้ำกติกาที่ไม่เป็นกลาง
อันนี้คือหัวใจสำคัญของการที่รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งจะมีความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจ
รัฐบาลนั้นต้องยึดโยงกับเสียงของประชาชนและต้องมาจากกติกาที่เป็นกลาง
ถ้าเกิดขึ้นแบบนี้ และมีการปรับกติกา ผมว่าอย่างน้อยพวกเราก็ยอมรับกันได้แล้วก็ไปสู้กันใหม่อีก 4 ปีในสนามเลือกตั้ง
แต่ถ้ารัฐบาลนี้ปิดประตูไม่ยอมลดราวาศอกสักนิดนึง ไม่ยอมแก้ ไม่ยอมปรับ มันคืออันตราย
ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญต้องแก้ที่เนื้อหาสาระจริงๆ ไม่ใช่แก้อะไรยิบย่อยเพียงเพื่อให้บอกได้ว่าแก้ไปแล้ว
ส่วนตัวมองว่า ความจริงต้องแก้เยอะมากๆ สุดท้ายต้องร่างใหม่ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาเสนอความเห็นของเขาแล้วต้องทำคู่ขนาน ทั้งเวทีในรัฐสภาและภาคประชาชน
กลไกที่สำคัญในรัฐสภาคือการพยายามรวบรวมข้อมูล
โดยผมและกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้าก็พยายามทำอยู่เพื่อรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนและนำเสนอให้กับรัฐสภาผ่านกลไกของกรรมาธิการว่าปัจจุบันประชาชนคิดแบบนี้ คนช่วงอายุแบบนี้คิดแบบนี้กี่เปอร์เซ็นต์
โดยผ่านการจัดกิจกรรมทุกเสาร์-อาทิตย์ก็เดินสายทั่วประเทศ จัดกิจกรรมให้คนเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญฉบับในฝันของเขา เราก็ออกแบบเป็นเกม ให้เป็นกลุ่มระดมไอเดียกัน ครบทุกด้าน
แต่ถ้าเราไม่แก้ มันจะยิ่งทำให้ความศรัทธาและความชอบธรรมของรัฐบาลมันลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
ยิ่งพอมาเจอกับวิกฤตในการบริหารเศรษฐกิจและการจัดการปัญหาบวกกับข้อครหาเรื่องความทุจริต ความศรัทธาก็ดิ่งลงมาเรื่อยๆ ฉะนั้น ทางออกที่ยั่งยืนคือการแก้รัฐธรรมนูญ
สําหรับ “สมาชิกวุฒิสภา” พริษฐ์บอกว่า ผมมีความเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นแล้วในสังคมไทย ถามว่าทำไม? ปัจจุบันปัญหาของวุฒิสภาคืออำนาจและที่มามันไม่สอดคล้องกัน หมายความว่าวุฒิสภาไทยมีอำนาจเยอะมาก สามารถเลือกนายกฯ ได้ สามารถแต่งตั้งบุคลากรในองค์กรอิสระได้
แต่ที่มาไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนเลย ไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่กระบวนการของการแต่งตั้ง เกณฑ์ที่เอามาใช้ ว่าใครควรแต่งตั้งเข้ามา กลับไม่ถูกเปิดเผย โดยที่ใช้งบประมาณมากถึง 1,300 ล้านบาทในการสรรหาวุฒิสภา 250 คน มันจึงเกิดความไม่สมดุล คืออำนาจสูงมาก แต่ที่มาด้อยมาก
กรณีนี้จึงมีทางออกอยู่ 3 อย่าง ถ้าเราจะแก้สมการนี้
สมการแรก คือการลดอำนาจ ส.ว.ลง คืออยากแต่งตั้งก็ตั้งไป แต่อย่ามีอำนาจเยอะ เช่น ห้ามเลือกนายกฯ ห้ามเป็นคนมาชี้ว่าใครควรเป็นบุคลากรในองค์กรอิสระ
นี่เป็นโมเดลเดียวกับสหราชอาณาจักร ส.ว.มาจากการแต่งตั้ง แต่เขามีความพยายามมากกว่าที่ไทย โดยการนำผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายวิชาชีพเข้ามา สุดท้ายแล้วทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้มากที่สุดคือการทักท้วงหรือว่าให้คำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมาย มากสุดจริงๆ คือการยับยั้งกฎหมายไว้ 1 ปี
สมมุติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผ่านกฎหมายมา แล้วไม่เห็นด้วยสามารถระงับยับยั้งไว้ได้ 1 ปี แต่ถ้าผ่านไป 1 ปีแล้ว ส.ส.ยังยืนยันคำเดิม กฎหมายนั้นก็ผ่าน นี่คือสมการที่ 1 คือลดอำนาจลง
สมการที่ 2 คือการเพิ่มที่มา ให้ยึดโยงประชาชนมากขึ้น ก็คือการเป็น ส.ว.เลือกตั้ง
คำถามที่ตามมาก็จะเกิดขึ้นว่า ถ้าเรามี ส.ว.เลือกตั้งแล้ว โดยที่มี ส.ส.เลือกตั้ง เราจะใช้ระบบแบบไหนที่จะได้สภาหน้าตาแตกต่างกัน ไม่ให้การทำงานที่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
อาจจะใช้แบบสหรัฐอเมริกา เขาบอกว่า จำนวน ส.ส.ในแต่ละรัฐ มันยึดโยงกับจำนวนประชากร รัฐที่มีประชากรเยอะก็มีจำนวน ส.ส.เยอะ รัฐที่มีประชากรน้อยมี ส.ส.ไม่กี่คน เหมือนกับที่กรุงเทพฯ มี ส.ส. 33 คน ระนองมี ส.ส. 1 คน ทางออกของเขาก็คือ ทุกจังหวัดมี ส.ส. หรือ ส.ว. อย่างละ 1-2 คนเท่ากัน เพื่อจะได้เพิ่มพื้นที่ให้ ส.ว.เข้ามาปกป้องประโยชน์ของจังหวัดที่มีประชากรน้อย
แต่ผมก็ตั้งคำถามว่า ถ้าโจทย์ของเราคือการช่วยให้จังหวัดสามารถจัดการตัวเองได้ มันไม่ได้ช่วยได้ดีเท่ากับการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
ถ้าเราเปิดโอกาสให้เขาเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดได้เองทุกจังหวัด และคนทำหน้าที่อยู่ในส่วนกลาง ไปสู่ท้องถิ่นให้เขาสามารถบริหารจัดการในจังหวัดตัวเองได้มากขึ้น พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ มีตำรวจของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งส่วนกลาง
ทางออกที่ดีที่สุดคือสมการที่ 3 ที่ผมมองว่านำมาสร้างสมดุลได้ คือยกเลิก ส.ว.ไปเลยดีกว่า
เราเรียกระบบนี้ว่าสภาเดี่ยว แต่มาพูดกับประเทศไทยหลายคนอาจจะฟังแล้วตกใจ ถ้ามองทั่วโลกแล้วเปรียบเทียบกับประเทศที่เหมือนกับประเทศไทย คือเป็นประชาธิปไตย แล้วใช้ระบบรัฐสภา 31 ประเทศที่เป็นรัฐเดี่ยว โดยที่มี 20 ประเทศใช้ระบบสภาเดี่ยวคือมีแค่สภาผู้แทนราษฎร เช่น นิวซีแลนด์ หรือบางประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ที่เคยมีสภาคู่ก็กลับสู่สภาเดี่ยว
ท้ายที่สุดแล้ว เขามองว่าอย่างแรกคือการช่วยประหยัดงบประมาณของเราอยู่ที่ 1,200 ล้านบาทต่อปี การที่เรามีวุฒิสภา เฉพาะค่าตอบแทน ไม่นับค่าน้ำค่าไฟค่าสรรหาบุคลากร เพราะโลกมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้น มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา มีปัญหาใหม่ๆ เข้ามา ความคล่องตัวในการออกกฎหมายใหม่ถอนกฎหมายเก่า มันจำเป็นต้องคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิม
การที่เราลดกระบวนการร่างกฎหมายให้มีความคล่องตัวมากขึ้นมีความสำคัญต่อสถานการณ์มากขึ้นก็อาจจะช่วยได้
ท้ายที่สุดแล้วถ้าเรามองถึงหน้าที่ ส.ว.คือการตรวจสอบอำนาจฝ่ายบริหารเราก็ต้องถามเหมือนกันว่า ปัจจุบันในโลกที่มีตัวเชื่อมเทคโนโลยีที่เราสั่งให้เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบรัฐบาลได้มากขึ้น การตรวจสอบที่ดีที่สุดที่เข้มข้นที่สุด คือการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ปลูกฝังให้เป็นประชาชนที่ตื่นตัวเป็น Active Citizen ที่พร้อมจะเข้ามาตรวจสอบรัฐบาลเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียด เพิ่มกฎหมายคุ้มครองให้คนที่กล้าเข้ามาเปิดโปงข้อมูลทุจริตหรือข้อครหาต่างๆ
เพิ่มกฎหมายคุ้มครองคนอย่างแหม่มโพธิ์ดำ ที่กล้าลุกขึ้นมาเปิดโปงข้อมูลที่ไม่ชอบธรรมต่างๆ ตรงนี้มากกว่าที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีหรือวิธีการตรวจสอบรัฐบาล ที่อาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
การพึ่ง ส.ว. 250 คนที่มาทำหน้าที่แทน มันเป็นความคิดที่ตกยุคตกสมัยไปแล้ว
ชมคลิป
Nok นักการเมื่องแดกเงินทุกย่คแหละ
11 เม.ย. 2563 เวลา 02.49 น.
เห็นด้วยพวก สะวะไม่ควรมีเปลืองงบ ทำงานซ้ำซ้อนกับ ส.ส.
10 เม.ย. 2563 เวลา 23.00 น.
I'm here ตอนนี้ในใจไม่ควรจะมีทั้ง สว สส สักคน เพราะไม่อยากทนไม่อยากเห็นประชาชนเดือดร้อนมากมาย แต่พวกเขาสบายมีกินทุกมื้อ นอนแอร์ ทำงานห้องแอร์ สวัสดิการครบ เดินทางมีรถประจำตำแหน่ง ประชาชนเบียดกันใช้บริการขนส่งสาธารณะออกมาทำงานหาเงิน ถูกตำหนิไม่เว้นช่วงห่าง ทำไงได้ชีวิตต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัว ครอบครัว ช่วงลำบากทำให้รู้ใครทำเพื่อประชาชน เงินเดือนเป็นแสน แต่ช่วยเหลือประชาชนเดือดร้อนตกงานขาดรายได้อยู่ภายใต้ภาวะเสี่ยงอันตรายเดือนละ5,000 ให้ลองลดรายได้ตัดสวัสดิการเหลือรับสุทธิข้าราชการการเมืองเหลือแค่5,000สิ
10 เม.ย. 2563 เวลา 19.47 น.
Jack the devil ยังไม่เหมาะเป็น ส.ส. เพราะตอนนี้มันใช่เวลาหรือ ถ้าไม่มีวิกฤตนี้ก็เสนอแนะได้ แต่นี่เขาเรียกว่าไม่รู้กาละเทศะ ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะ
10 เม.ย. 2563 เวลา 17.58 น.
Suttee pleji😊 📣📣ใครอ่านเกิน2บรรทัดบ้าง.. 👏👏👏👏ขอชมนักข่าวขยันหมั่นเพียรมากๆ.. แต่เราอ่านแค่นั้นแหละ.. ว่า.. ไอ้หน้าหล่อนี่มันเสนอให้ ยกเลิก สว. //เปรียบไปคนเราก๋เหมือนปล่อยปูลงกระด้ง ขนาดมี พรก.ฉุกเฉิน มันยังฝ่าฝืนทุกวัน ถ้าเอาอย่างหล่อว่านะ.. ไทยเราคงไม่ต่างจาก USA.. แบบนี้. หล่อชอบบบบบ🤔😀😀
10 เม.ย. 2563 เวลา 17.35 น.
ดูทั้งหมด