นักเรียนชาวไทย ในไต้หวัน โวย ฝึกงานสอนภาษา ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่ไต้หวัน สัญญาสุดโหด ไม่ผ่าน ห้ามสอน 2 ปี เสียค่าปรับอีกหลายหมื่น!
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตในหมู่นักเรียนในไต้หวันขึ้นมา เมื่อเฟซบุ๊กแฟนเพจ OlanVision ได้โพสต์ภาพพร้อมเอกสารการเซ็นต์สัญญาดังกล่าว ของสถาบันสอนภาษาไทยชื่อดัง ในไต้หวัน โดยสถาบันดังกล่าว กำหนดให้ฝึกงานสอนภาษา เป็นเวลา 4 เดือน
หากไม่ผ่านการฝึกงาน จะต้องเซ็นสัญญาถูกห้ามสอนภาษา เป็นเวลา 2 ปี แม้จะยังไม่เป็นพนักงานประจำก็ตามที มิเช่นนั้นจะต้องเสียค่าปรับ เป็นจำนวน 30,000 NTD ซึ่งก็ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักเรียนไทยในไต้หวัน รวมถึงคนที่ต้องประกอบอาชีพดังกล่าว ว่าสัญญานี้เป็นธรรมหรือไม่
ต่อมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งต่อมาเป็นผู้ยอมรับว่าตนเป็นคือนักเรียนไทย ผู้ถูกให้เซ็นเอกสารดังกล่าว ที่มีข้อห้ามซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ได้เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด ดังนี้
คิดอยู่นานว่าจะออกมาพูดเรื่องนี้ดีไหม เดิมทีก็ไม่ได้คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ สำหรับใครที่งงว่าเรากำลังพูดอะไร เรากำลังพูดประเด็นโรงเรียนสอนภาษาไทยชื่อดังในไต้หวันกับสัญญาห้ามสอนภาษาไทยที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ตอนนี้
และใช่ค่ะ เราเป็นนักศึกษาฝึกหัดคนนั้นเอง
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเราเป็นนักเรียน ป.โท ที่เรียนจบแล้วและกำลังหางานทำ เงื่อนไขในการอยู่ไต้หวันและหางานทำของเราที่นี่ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง การที่เรามาสมัครงานที่นี่ก็เพราะหวังว่าถ้าผ่านช่วงทดลองงานจะได้ทำงานเต็มเวลา และได้ Work Permit ในไต้หวัน เพราะงั้นตัดประเด็นนักเรียนภาษาที่มาหารายได้พิเศษอย่างผิดกฎหมายทิ้งไปได้เลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ช่วงเช้า 10:00-12:40 เราไปฝึกสอนตามปกติ ตอนนั้นยังไม่มีอะไรที่เป็นสัญญาณว่าเราจะไม่ผ่าน จนเรากลับบ้านไปช่วงทุ่มกว่าๆ มีอาจารย์คนไทยอีกคนไลน์มาหาเราว่า วันพฤหัส 17:30 ว่างไหม เจ้าของโรงเรียนอยากคุยด้วย ซึ่งเราก็ตอบไปว่าได้ เราว่าง แต่มีเรื่องอะไรพอจะบอกได้ไหม คำตอบที่เราได้รับก็คือ “เกี่ยวกับการสอน” แค่นั้น
แต่เอาจริงๆ เราก็เริ่มเอะใจแล้วแหละ เพราะถ้ามันจะไม่มีอะไรจริงๆ ก็ควรจะลงดีเทลกันได้ว่านัดไปคุยเกี่ยวกับการสอนน่ะมันคุยด้านไหน เพื่ออะไร ความที่คิดไปแล้วล่วงหน้าก็เริ่มจิตตก คนที่เป็นเฟรนด์จะเห็นได้ว่าเที่ยงวันนั้นเรายังโพสขอหัวใจจากทุกคนอยู่เลย
วันพฤหัส บ่าย 3 โมง ก่อนเวลานัดแป๊บเดียว อาจารย์คนเดิมไลน์มาหาเราอีกว่าให้เอาชีทของทางโรงเรียนติดไปด้วย เราถามอีกครั้งว่านัดครั้งนี้ “เป็นเรื่องฝึกสอนเหรอคะ” แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าน่าจะเป็นข่าวร้ายแหละ
วันนั้นเราไปตามนัด เจอกับเจ้าของโรงเรียนก่อน ซึ่งได้เชิญเราไปนั่งในห้องเรียนใหญ่ ก่อนที่อาจารย์คนไทยอีก 2 คนจะตามเข้ามา มีการเรียกให้เราเข้าไปนั่งใกล้ๆ ด้านหลังเราเป็นเจ้าของโรงเรียน ด้านขวาเป็นครูคนไทย
และด้านหน้าเราก็เป็นครูคนไทยอีกคนหนึ่งที่นั่งหันหน้ามาทางเรา ก็เริ่มต้นบอกว่าเราไม่ผ่านการฝึกตามมาตรฐานของที่นั่นนะ และให้เงินตอบแทนช่วงฝึกสอน 10,000 NT โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้ครอบคลุมค่าตอบแทนตลอดช่วงการฝึกงาน เสร็จแล้วก็บอกว่าเราต้องเซ็นสัญญาเพื่อจะเป็นหลักประกันว่าเราจะไม่เอาวิธีของโรงเรียนออกไปสอนที่ไหน ซึ่งสัญญาที่เขาเอามาให้เราดูรอบแรกก็เป็นสัญญาที่ถูกเผยแพร่ออกไปแล้วก่อนหน้านั้น เราเองเห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าไม่ใช่ละ
1. เรารู้สึกเหมือนถูกหลอกให้มานั่งในห้องตรงนั้น เพราะเราถามเขา 2 ครั้งว่าเรียกไปทำอะไรแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน และถ้าจะบอกว่าเรียกมาเพราะแจ้งข่าวว่าไม่ผ่าน แค่นั้นแจ้งทางไลน์หรือคอลก็ได้ไหม เงินก็โอนเข้าบัญชี ไม่จำเป็นที่เราต้องเข้าไปอย่างเร่งด่วนเลย จุดประสงค์ที่เรียกเราไปก็เพราะอยากให้เราเซ็นหรือเปล่า
2. เราไม่รู้ว่าที่ไต้หวันเป็นยังไง แต่ที่ไทยตามที่เรียนมา (ถ้าจำไม่ผิด) เรานั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว อยู่ในสถานที่ของเขาและคนฝั่งเขา 3 คน โดยเฉพาะเจ้าของโรงเรียนที่มีอำนาจเยอะสุดในนั้นบอกว่าเราต้องเซ็นให้ได้ ถึงเซ็นไปยังไงก็โมฆะหรือเปล่า เพราะก็เหมือนเราโดนบังคับเซ็น
3. เคยได้ยินมาว่าในไต้หวันมีคนทำแบบนี้กันเยอะ ซึ่งค่อนข้างไม่เป็นธรรมและอาจผิดกฎหมาย และถ้ามันผิดกฎหมายจริงต่อให้เซ็นก็ไม่มีผลบังคับใช้ เราเลยเกิดคำถามว่าเจ้าของโรงเรียนรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำหรือเปล่า ถ้าเขาทำเพราะหวังผลทางกฎหมายจริงก็เซ็นๆ ไป ยังไงก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเขารู้ว่ามันไม่มีผลแต่ก็ยังทำ นั่นเท่ากับหวังข่มขู่และกดดันเราให้ยอมรับในข้อตกลงที่ไม่ธรรมใช่ไหม? เรียกเรามาจากบ้านเพียงเพื่อขู่?
4. เนื้อหาสาระของสัญญาที่กว้างครอบจักรวาลมาก และเรามาฝึกที่นี่แค่ 3-4 เดือนแต่ถึงกับต้องห้ามสอนตั้ง 2 ปี ต่อให้รู้ว่ามันจะไม่มีผลแต่ก็ไม่น่าเซ็นเลย ทางโรงเรียนบอกว่าเคยมีคนเซ็นไปแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ว่าจริงไหมหรือแค่ทำให้เราไม่กลัวเฉยๆ
5. ทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ตอนนั้นเราก็เคืองๆ แหละ
แน่นอนว่าเห็นสัญญาแล้วเราก็ไม่อยากเซ็น ก็เลยบอกว่าขอถ่ายรูปส่งไปปรึกษาทางบ้าน ซึ่งเราก็ส่งไปถามที่บ้านจริงๆ ระหว่างรอที่บ้านตอบเราก็ดูเองแล้วก็ขอแก้ข้อความที่ว่า“หลังจากวันนี้เป็นต้นไปเป็นเวลาสองปี ข้าพเจ้าจะไม่กระทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอนภาษาไทยในประเทศไต้หวัน”
เป็น “หลังจากวันนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา หกเดือน ข้าพเจ้าจะไม่กระทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอนภาษาไทยในประเทศไต้หวัน…และหลังจากนี้เป็นต้นไปจะไม่ใช้วิธีการสอนของ ---- มาใช้ในการสอนภาษาไทยโดยเด็ดขาด”
โดยให้เหตุผลว่าต่อให้ตอนนี้เราไม่มีแพลนสอนไทย แต่ถ้าอนาคตเราอยากจะทำขึ้นมาการห้ามกันตั้ง 2 ปีก็ดูเกินไปหน่อย ซึ่งทางโรงเรียนก็ยอมให้แก้เป็นตามนั้น ดังนั้น สัญญาฉบับที่เซ็นจึงระบุว่า “ห้ามสอนภาษาไทยเป็นเวลา 6 เดือน”
(แต่จริงๆ เราก็คิดว่าไม่แฟร์นั่นแหละ ห้ามสอนแค่เดือนเดียวก็ไม่แฟร์แล้ว แต่ก็คิดว่าเซ็นๆ ไป เจ้าของโรงเรียนจะได้สบายใจ เราจะได้กลับบ้านสักที) ซึ่งทางนั้นเสนอสัญญาห้ามสอนภาษาไทยโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ภายใต้เวลาที่จำกัดและกดดัน ทำให้ท้ายสุดเราก็เซ็นสัญญาลงไป
หลังจากนั้นก็มีคุยอะไรกันต่อนิดหน่อย ทางโรงเรียนก็บอกจริงว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้ บรรยากาศตอนออกมาก็ไม่ได้แย่จริงๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่ยังติดใจเราเลยส่งรูปสัญญาฉบับแรกพร้อมทั้งข้อความไปหารุ่นพี่นักเรียนไทยในไต้หวัน ว่าทำแบบนี้มันได้เหรอ และสัญญาฉบับนี้มันเกินไปหน่อยไหม ตอนนั้นเราก็คิดว่าวันถัดมาเราจะไปปรึกษาสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย แต่พอดีได้รุ่นพี่ท่านนี้ช่วยประสานให้เลยไม่ต้องไปด้วยตัวเอง
นอกจากนั้นรุ่นพี่ก็ยังแชร์ไปถึงกรุ๊ปไลน์และเพจ OlanVision ซึ่งเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่โพสนั้นก็ทำให้เรารู้ว่ายังมีคนไทยหลายคนที่มีปัญหากับที่นี่ ไม่ใช่แค่เพราะขัดแย้งทางผลประโยชน์ทางธุรกิจ เราเลยรู้สึกว่าถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้มานานแต่ไม่มีใครกล้าออกมาพูด
เราออกมาพูดก็ได้ เพราะคนไทยหลายคนที่เข้ามาฝึกกับที่นี่แล้วกลับกลายเป็นว่าต้องออกไปพร้อมกับความเสียหายต่อสภาพจิตใจและ Self Esteem เราเลยคิดว่าก็ให้มันเป็นบทเรียนกับคนไทยรุ่นต่อๆ ไป จะได้ไม่มาเจอแบบเราและคนอื่นๆ ก่อนหน้าอีกแล้วกัน
ส่วนที่ทางคนของทางโรงเรียนมาคอมเมนต์ว่าเราอยากให้ลบ จริงๆ แล้วเป็นทางโรงเรียนคอลมาหาเราเพื่อให้เราไปบอกให้เจ้าของเพจลบ ไม่ใช่ความประสงค์ของเราค่ะ เพราะตอนนั้นเราก็เห็นแล้วว่ามีหลายคนโดนเหมือนกัน
และที่ทางโรงเรียนบอกว่าจุดประสงค์ต้องการป้องกันการนำสื่อการสอนของโรงเรียนไปใช้ จริงๆ ตอนที่ฝึกอยู่และวันที่ให้เซ็นสัญญา เจ้าของโรงเรียนเน้นย้ำแต่ว่า “หลักสูตรของโรงเรียน” ซึ่งก็คือการเรียน ฟัง-พูด และ อ่าน-เขียน แยกกันค่ะ
เขาเคลมว่าที่โรงเรียนนี้เป็นเจ้าแรกที่คิดค้นหลักสูตรนี้ในไต้หวัน และโรงเรียนอื่นที่ใช้อยู่ก็ลอกของเขาไปก็เลยต้องมีสัญญานี้ขึ้นมา ซึ่งเราไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่เขาไม่เคยพูดเรื่องสื่อการสอนค่ะ สื่อที่เรามีในมือก็คือชีทแผ่นๆ ประมาณ 11 หน้าแค่นั้น เข้าใจว่าเขาให้เราติดไปด้วยเพื่อจะให้คืนวันนั้น แต่อาจจะลืมหรือยังไงก็ไม่ทราบ
เราเป็นคนไทยคนหนึ่งที่รักไต้หวันมาก และตั้งใจนำเสนอเรื่องราวน่าสนใจและภาพลักษณ์ดีๆ ของไต้หวันให้คนไทยตลอด ก็รู้แหละว่าไต้หวันคงไม่ได้มีแต่ด้านดีหรอก แต่พอมาเจอเข้ากับตัวเองขนาดนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เรายังรักไต้หวันอยู่มากๆ เลย
และก็หวังว่าการออกมาพูดอะไรแบบนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในไต้หวันให้ดีขึ้นบ้าง นิดนึงก็ยังดี (ไม่ต้องห่วงค่ะ กับประเทศไทยเราก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ด่ามันทุกวันหวังว่ามันจะดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ออกแนวด่าด้วยความเอือมระอาแล้วล่ะ) และหวังว่านักเรียนไทยหรือคนไทยจะระวังตัวมากขึ้นเวลาหางานในไต้หวัน ไม่อยากให้ใครต้องมาเสียเวลาและสุขภาพจิตกันแบบนี้อีกค่ะ
Poppy Stitch Meow มีแต่น้ำ เนื้อนิดเดียว
16 พ.ค. 2563 เวลา 10.17 น.
POP ทุกที่
มีกฎ
ระเบียบ
รับไม่ได้ก็อย่าเข้าไป
จบ
16 พ.ค. 2563 เวลา 11.56 น.
Fon ไม่ชอบอย่าไป. แค่นั้น
17 พ.ค. 2563 เวลา 03.19 น.
kansaran ขนาด ปตท.ยังมีสัญญาทาส ทำงานจ้า 10 แล้วพวกยังจ่ายให้เดือนเดียว ค่าหัวคิวไง กฎหมายทำไว้ใช้กับคนจน คนไทยแบบนี้มีอีกเยอะ
16 พ.ค. 2563 เวลา 16.10 น.
ไงละไต้หวันดีนักดีหนา เจอของจริงซึ้งไม๊ ไม่มีใครเขายอมเสียเปรียบหรอก คนไปจีนแดงทำงานสบายๆ หอบเงินหยวนกลับเยอะแยะ ตั้งตัวสบายๆ ขนาดคนไต้หวันยังไปทำงานที่แผ่นดินใหญ่ปีละกี่ล้านคน
16 พ.ค. 2563 เวลา 13.13 น.
ดูทั้งหมด