กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "คนไทยว่าอย่างไรกับการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,205 คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 57.9% เห็นว่าการต่อ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน การล็อกดาวน์ มีผลต่อการดำเนินชีวิต การทำงาน การเรียน ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ 42.1% เห็นว่ามีผลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
เมื่อถามว่ากังวลมากน้อยเพียงใดต่อสถานที่ที่เปิดจากมาตรการผ่อนปรนเฟสแรกและเฟสสองว่าจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ได้ พบว่า ในมาตรการผ่อนปรนเฟสแรกเคอร์ฟิว 22.00 – 04.00 น. เช่น ตลาด ร้านอาหารขนาดเล็ก สนามกีฬากลางแจ้ง ร้านตัดผม ประชาชนส่วนใหญ่ 61.8% มีความกังวลต่อสถานที่ที่ผ่อนปรนค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด (แบ่งเป็นค่อนข้างน้อย 43.8% และน้อยที่สุด 18.0%) ขณะที่ 38.2% มีความกังวลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด (แบ่งเป็นค่อนข้างมาก 32.8% และมากที่สุด 5.4%)
ส่วนมาตรการผ่อนปรนเฟสสอง เคอร์ฟิว 23.00 – 04.00 น. เช่น ห้างสรรพสินค้า ประชาชนส่วนใหญ่ 61.6% มีความกังวลต่อสถานที่ที่ผ่อนปรนค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด (แบ่งเป็นค่อนข้างน้อย 44.6% และน้อยที่สุด 17.0%) ขณะที่ 38.4% มีความกังวลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด (แบ่งเป็นค่อนข้างมาก 32.6% และมากที่สุด 5.8%)
ทั้งนี้ เมื่อถามต่อว่าสถานที่ที่กังวลมากที่สุดหากมีการผ่อนปรนในเฟสที่ 3 และเฟสที่ 4 ว่าอาจจะทำให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้ คือ สถานบันเทิง ผับ บาร์คิดเป็น 80.5% รองลงมาคือ สนามมวย สนามม้า สนามแข่งกีฬาต่างๆ คิดเป็น 77.6% และโรงภาพยนตร์ คิดเป็น 46.2%
เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการลดเวลาเคอร์ฟิวลงเหลือ 23.00 – 03.00 น. ส่วนใหญ่ 82.4% เห็นด้วยเพราะ เวลาไม่ได้แตกต่างจากเดิมที่ 23.00 – 04.00 น. จะได้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินชีวิตได้มากขึ้น ขณะที่ 17.6% ไม่เห็นด้วยเพราะจะทำให้มีการพบปะ สังสรรค์ ชุมนุมกันเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
สำหรับความเห็นต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยัง จำเป็นมากน้อยเพียงใดต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่ 69.5% เห็นว่ายังจำเป็นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ 30.5% เห็นว่าจำเป็นค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
สุดท้ายเมื่อถามถึงเรื่องที่ห่วงมากที่สุดกับอนาคตของประเทศไทย ในการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือ ปัญหาการขาดรายได้ ค่าครองชีพของประชาชนคิดเป็น 77.9% รองลงมาคือ มีการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นคิดเป็น 70.0% และการศึกษาของลูกหลานเรียนออนไลน์คิดเป็น 57.7%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 63)
กฎหมายแบบนี้ มันกระทบคนจำนวนนึง ถ้าใช้ผลสำรวจ มันก็ออกมาแบบนี้แหละ ที่คล้ายๆกันก็อย่างเช่น เวนคืนนู่นนี่ มันกระทบคนจำนวนนึง ถ้าใช้ผลสำรวจมันก็ออกมาแบบนี้ บางเรื่องจึงใข้ผลสำรวจไม่ได้เนื่องจากคนเราเอาที่กระทบตัวเอง ถ้าไม่กระทบก็ปล่อยผ่านหมด เมื่อเราไม่คิดถึงคนอื่น สุดท้ายจะถึงคิวเราบ้าง ซึ่งคนอื่นก็ปล่อยผ่านอีกเหมือนกัน
มันจึงต้องใช้วิธีคิดอื่นๆ
30 พ.ค. 2563 เวลา 07.27 น.
MonJingJing ูไม่ได้เห็นด้วย..อย่าอ้าง
30 พ.ค. 2563 เวลา 05.42 น.
KT ใครเห็นกับมึง บ้างละ? คนส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย?
30 พ.ค. 2563 เวลา 05.35 น.
ดูทั้งหมด