18 ต.ค.61 - ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ถ.แจ้งวัฒนะ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ร้องชี้มูลความผิด นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ผู้คัดค้าน เป็นอดีตปลัดกระทรวงคมนาคมปี 2552-2554 ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อม.27/2560 ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
คดีนี้สืบเนื่องจากนายสุพจน์ ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี 2555 และข้อกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ จากเหตุการณ์คนร้ายบุกปล้นบ้านพักในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย. 2554 ซึ่งผู้ที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้นได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท ขณะที่นายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินบางส่วนได้ ป.ป.ช.จึงชี้มูลความผิดนายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทั้งยังให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อให้ริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย
โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 ศาลฎีกา อม.ได้มีคำพิพากษาว่า จำเลยจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์ 5 ครั้งใน 2 รายการคือเงินสด 17,553,000 บาท และรถยนต์โฟล์คสวาเกน ราคา 3 ล้านบาท ในขณะที่พ้นจากตำแหน่งประธานการรถไฟแห่งประเทศไทย กรรมการการบินไทย ประธานการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นเวลา 1 ปี จึงลงโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางราชการเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่ 18 ม.ค. 2555 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 เป็นความผิดหลายกรรม จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 5 กระทง คงจำคุก 10 เดือน ไม่รอลงอาญา
อย่างไรก็ตาม ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้สิทธิจำเลยยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกา อม. ได้อีกครั้ง นายสุพจน์จึงใช้สิทธิยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีอุทธรณ์และได้รับการประกันตัวไป จนศาลฎีกา อม.นัดฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ในวันนี้
โดยเวลา 10.50 น. องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คนออกนั่งบัลลังค์ พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่าตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ต้องยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและเอกสารประกอบนั้น เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่าผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กระทำผิดเสียเองจึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดีปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี โดยให้ออกหมายขังผู้คัดค้านตามคำพิพากษาถึงที่สุดและให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาทกับผู้คัดค้าน
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ทางครอบครัวและญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจได้ร่ำไห้เข้าไปกอดนายสุพจน์พร้อมพูดคุย ขณะที่นายสุพจน์ก็มีสีหน้าเศร้าน้ำตานอง พูดปลอบใจครอบครัวด้วยว่าแป๊บเดียว ก่อนถอดสิ่งของมีค่าฝากให้ครอบครัว เพราะหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะนำตัวไปคุมขังรับโทษยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพตามคำพิพากษาศาลฎีกา อม. ถึงที่สุดในวันนี้.
นายช่างใหญ่ไฟฟ้าภูมิภ ยังมีข้าราชการอย่างนี้อีกเยอะในประเทศไทย
18 ต.ค. 2561 เวลา 05.50 น.
.Mo แค่10เดือนเหรอ
18 ต.ค. 2561 เวลา 06.09 น.
ยุทธยุทธ ปท.ที่เจริญเขาไม่บอมรับการคอรัปชั่น การโกงภาษีถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เหมือฆ่าคนตาย เมืองไทยโทษนิดหน่อยโกงไปร่ำรวยคนยอมรับคนโกง
18 ต.ค. 2561 เวลา 05.52 น.
yong จิ๊บ จ๊อย มาก แค่ สิบเดือน ใครจะกลัว
คนดีๆ จะเแาเงินไปไว้ บ้สน ร้อยล้าน
18 ต.ค. 2561 เวลา 05.54 น.
Boovis🐯 เอาเงินมาจากไหนว่ะ
18 ต.ค. 2561 เวลา 05.46 น.
ดูทั้งหมด