บทเรียนบัญชีส่วนตัวไม่เหมาะรับบริจาค กรณี "สมหวัง อัสราษี" แกนนำ นปช. ถูกฟ้องล้มละลาย เพราะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากการรับเงินบริจาค 572 ล้าน กังวลไปถึง "บิณฑ์ บันลือฤทธิ์" เปิดรับบริจาคน้ำท่วม พบสาเหตุไม่ได้อยู่ในรูปแบบของมูลนิธิ ถือเป็นเงินได้ต้องเสียภาษี แนะทางออกคุยกับสรรพากรไปตรงๆ
… รายงาน
จากกรณีที่นายสมหวัง อัสราษี เจ้าของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อมิตซูชิต้า และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ระบุว่า แกนนำ นปช. ได้แก่ วีระกานต์ มุสิกพงษ์, จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ใช้ให้ตนเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินบริจาค และกิจกรรมอื่นๆ ปรากฎว่าถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากเงินเหล่านี้เป็นจำนวน 572 ล้านบาท แต่เมื่อไม่มีจ่ายจึงถูกฟ้องล้มละลาย และขณะนี้ถูกอายัดทรัพย์ และอายัดบัญชีทั้งหมด
ทำให้ชาวเน็ตส่วนหนึ่งกังวลไปถึงกรณีที่ นายบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ นักแสดงชื่อดัง ประเดิมเงินส่วนตัว 1 ล้านบาท เปิดบัญชีรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานี ปรากฎว่าหลังจากปิดบัญชีไปเมื่อวันที่ 2 ต.ต. ที่ผ่านมา มียอดเงินบริจาคเข้าบัญชีธนาคาร 422,496,062 บาท ไม่นับรวมคนนำเงินสดมามอบให้อีกจำนวน 4,008,002 บาท ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ากังวล แต่ได้ถามกรมสรรพากรแล้ว ขณะที่นายปิ่นสาย สุรัสวดี โฆษกกรมสรรพากร ระบุว่า สรรพากรมองว่าประชาชนฝากเงินให้เอาไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ไม่ใช่เงินส่วนตัว เพราะรับมาเท่าไร จ่ายไปเท่านั้น เหมือนเป็นตัวแทน เพียงแต่ว่าถ้าสรรพากรสงสัย ก็อาจจะขอดูหลักฐาน
ที่ผ่านมาเคยมีกรณีที่กลุ่มบุคคลร่วมทำโครงการเพื่อการกุศล เช่น โครงการรักษ์แมว ปันน้ำใจให้แมวจร ที่ดำเนินโครงการกว่า 11 ปี ถูกกรมสรรพากรแจ้งว่า จะต้องชำระภาษีที่มีเงินหมุนเวียนผ่านบัญชีในชื่อของบุคคล ที่โครงการได้เปิดรับบริจาคในการรักษาแมวทั่วประเทศ เพราะถือเป็นรายได้ส่วนบุคคลต้องมีการเสียภาษีย้อนหลัง ซึ่งการมีเงินเข้าบัญชีทำให้โครงการต้องมีรายจ่ายค่าภาษี รวมถึงค่าปรับเนื่องจากไม่ได้ชำระภาษี น่าจะเป็นยอดรายจ่ายที่สูงมาก ภายหลังโครงการนี้ได้จดทะเบียนเป็น "มูลนิธิรักษ์แมว ปันน้ำใจให้แมวจร" เพื่อความโปร่งใสและถูกต้องในการดำเนินงานทุกกรณี โดยการรับเงินบริจาคจะเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีมูลนิธิ ไม่ใช่บัญชีบุคคลธรรมดาอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก TaxBugnoms ซึ่งให้ความรู้เรื่องภาษี เคยอธิบายแนวทางโดยรวมว่า การเปิดรับบริจาคโดยใช้บัญชีบุคคลธรรมดานั้น ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของมูลนิธิ ซึ่งไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีจากเงินบริจาค ถือเป็นรายได้ หรือ เงินได้ทางภาษี และการรับบริจาค ทำสินค้าที่ระลึก หรือซื้อขายสินค้า ประมูลต่างๆ รวมถึงระดมทุน น่าจะเข้าข่ายเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 ต้องมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการรับเงินผ่านบัญชีส่วนตัว สำหรับแนวทางหากถูกสรรพากรเรียกไปชำระภาษีก็คือ การไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อชี้แจงว่า ส่วนไหนควรจะเป็นรายได้ และส่วนไหนไม่ควรถือเป็นรายได้ และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงให้รับทราบ สิ่งที่ควรมี คือ บัญชีรายรับรายจ่ายและหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ให้ชัดว่านำไปทำอะไรส่วนไหนยังไงบ้าง และต้องแยกประเภทเงินเข้าบัญชีออกมาว่า แบบไหนเป็นอย่างไร
แบ่งออกเป็น 1. ส่วนที่เป็นเงินบริจาค อาจจะถือเป็นเงินได้โดยเสน่หา ได้รับยกเว้นภาษีตามมาตรา 42 (28) หรือ (29) แห่งประมวลรัษฏากร แต่ขึ้นอยู่กับการตีความของเจ้าหน้าที่ด้วย แต่ถ้าหากให้เงินบริจาคเกิน 10 ล้านบาทต่อปี อาจจะต้องเสียภาษีจากการรับให้ในอัตรา 5% ของส่วนที่เกิน และเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. ส่วนที่เป็นเงินได้จากการขายสินค้า ประมูล หรือของที่ระลึก น่าจะเข้าข่ายเป็นเงินได้ประเภทที่ (8) โดยหักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือเหมา และนำส่วนที่เหลือมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ สิ่งที่ต้องระวังก็คือ หากรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการจัดการและกระทำการบริจาคจริง และมีหลักฐานครบถ้วน น่าจะพอพูดคุยกันได้ และถ้าหลังจากนี้จะทำต่อ อาจจะต้องพิจารณาเรื่องการจดมูลนิธิ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้มีปัญหาซ้ำซ้อน
สำหรับขั้นตอนการจดมูลนิธิ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จากการตรวจสอบพบว่า มีอยู่ 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ 1. การจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ โดยต้องมีทุนทรัพย์เริ่มแรกไม่น้อยกว่า 5 แสนบาท แต่ถ้าเป็นมูลนิธิเพื่อสังคมสงเคราะห์ จะได้รับการผ่อนผันให้มีทุนทรัพย์เริ่มแรกไม่น้อยกว่า 2 แสนบาท และต้องมีบุคคลอย่างน้อย 3 คน เป็นผู้ดำเนินกิจการของมูลนิธิ โดยจะเสนอให้นายทะเบียนมูลนิธิ ได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร) หรือผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณา 2. การประกาศกำหนดให้มูลนิธิเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ต้องให้มูลนิธิจัดตั้งขึ้นครบ 1 ปีขึ้นไป โดยยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อกรมสรรพากร เพื่อพิจารณาเสนอกระทรวงการคลัง ซึ่งกรมสรรพากรจะตรวจสอบย้อนหลัง 1 รอบระยะเวลาบัญชี ปัจจุบันมีมูลนิธิหรือสมาคมที่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล 973 แห่งทั่วประเทศ
Vasant Kailuxanakul แล้วของ กปปส. ที่ให้เข้าบัญชีส่วนตัวของคนๆหนึ่ง สรรพากรทำอะไรบ้างหรือยัง อย่าเลือกปฏิบัตินะครับ
14 ต.ค. 2562 เวลา 00.04 น.
สมพร 246 กรณีคุณบิณฑ์ก็รู้ก็เห็นกันทั้งประเทศว่าเป็นตัวแทนช่วยเหลือคนที่น้ำท่วม สรรพากรยังจะหน้าด้านเก็บภาษีเค้าอีกก็ทุเรศแล๊ะ ไม่ได้เอาไปใช้ส่วนตัวสักหน่อย ยกเว้นได้
14 ต.ค. 2562 เวลา 00.19 น.
มิน่ามูลนิธิถึงใด้เต็มบ้านเต็มเมือง
13 ต.ค. 2562 เวลา 23.51 น.
Mojimaru ส้นตีนจริงๆ
14 ต.ค. 2562 เวลา 00.11 น.
Apichon แล้วไอ้พวกขอทานออนไลนไม่มืจะแเดกละ
14 ต.ค. 2562 เวลา 00.01 น.
ดูทั้งหมด