ทั่วไป

เตือน! อย่าปล่อยลูกหลานใช้สมาร์ทโฟนมากเกิน มีผลต่อสติปัญญา-อารมณ์-สายตา

The Bangkok Insight
อัพเดต 15 มิ.ย. 2562 เวลา 09.18 น. • เผยแพร่ 15 มิ.ย. 2562 เวลา 09.18 น. • The Bangkok Insight

เตือนพ่อแม่ ผู้ปกครองใส่ใจลูกหลาน อย่าปล่อยใช้สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างไม่ระมัดระวัง มีผลต่อสติปัญญา การเข้าสังคม และเสี่ยงโรคตา

นพ.มานัส โพธาภรณ์
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากการที่สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ใช้งานไม่ยาก มีซอฟต์แวร์น่าใช้ ดึงดูดสายตาเด็ก ประกอบกับผู้ปกครองนิยมใช้เป็นสื่อหนึ่งในการเพิ่มทักษะต่างๆ ให้แก่เด็ก โดยอาจไม่รู้ถึงโทษที่จะตามมาโดยเฉพาะปัญหาสุขภาพตา

ทั้งนี้พบว่าเด็กบางกลุ่มใช้เวลาไปกับสื่อต่าง ๆ เป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อสติปัญญา การพัฒนาทางอารมณ์ และสังคม ความตั้งใจเรียนที่โรงเรียนลดลง พฤติกรรมการกิน การนอนผิดไปจากปกติ และอาจเกิดโรคอ้วนตามมา

นอกจากนี้ยังพบปัญหาทางตา จากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดตา ตาแห้ง เคืองตา ตามัว และเสี่ยงสายตาสั้นก่อนเวลาอันควร หากพบว่าเด็กมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

พญ.สายจินต์ อิสีประดิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคตาเด็กในยุคดิจิทัล เกิดจากการที่ใช้เวลาติดหน้าจอนานๆ เด็กจะสูญเสียเวลาส่วนใหญ่ ไปกับการจับจ้องอยู่ที่จอ ทำให้เกิดปัญหาทางสายตา ได้แก่ ปวดศีรษะ ตาแห้ง เคืองตา และตามัว เพราะใช้สายตาเพ่งมองมาก

*โดยหากเด็กใช้เวลาไปกับการจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ จะพบภาวะสายตาสั้นได้มากกว่ากลุ่มเด็ก ที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง จึงไม่ควรปล่อยให้ใช้สมาร์ทโฟนอย่างไม่ระมัดระวัง เพราะอาจส่งผลเสียในหลายด้าน เด็กจะสูญเสียเวลาส่วนใหญ่ ไปกับการจับจ้องอยู่ที่จอ นอกจากนี้ยังบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เข้านอนดึก ขาดการออกกำลังกาย เป็นโรคอ้วน และขาดการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น *

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ดังนั้น จึงควรใช้สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยมีคำแนะนำ 5 ข้อ ดังนี้

1.ไม่ควรให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบ ดูโทรทัศน์ หรือ เล่นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต

2.ไม่แนะนำให้มีสื่อต่าง ๆ ในห้องนอน

3.ต้องปิดสื่อเหล่านี้ในขณะรับประทานอาหาร

4.ไม่ควรใช้เวลาเล่นสื่ออุปกรณ์ นานเกิน 1 – 2 ชั่วโมงต่อวัน

5.หากมีอาการแสบตา ตามัวหรือปวดตา ควรพักสายตามองไปไกล ๆ หรือหลับตาพักสายตาทุก 20 นาที และกระพริบตาบ่อยขึ้น

อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดการพัฒนาของสติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคม ควรให้เด็กทำกิจกรรมกลางแจ้ง และอ่านหนังสือ ที่สำคัญสมองเด็กมีพัฒนาการที่เร็วมากใน 2-3 ขวบแรก จึงควรเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 20
  • เหรียญมีสองด้าน​ อยู่ที่เนื้อหาที่ดูว่าดูอะไร​ เราไม่มีทางปิดกั้นเด็กไม่ให้ดู​ ไม่ดูที่บ้านเด็กก็ไปดูของเพื่อนที่โรงเรียน​ สิ่งสำคัญคือการให้เด็กรู้จักบริหารเวลาที่ดู และสอนว่าเนื้อหาประเภทไหนควรดูหรือไม่ควรดู.
    16 มิ.ย. 2562 เวลา 00.50 น.
  • pirada789
    เริ่มจากพ่อแม่ก่อน อย่าเล่นมือถือต่อหน้าลูก ลูกจะรู้สึกเหว่ว้า เรียกร้องความสนใจอย่างรุนแรง เล่นกับลูกให้รู้ว่าเล่นกันสนุก ถ้าจะดูการ์ตูนควรดูในทีวีดีกว่า และที่สำคัญสร้างวินัยในการรักษาเวลา รักษาคำพูด
    15 มิ.ย. 2562 เวลา 23.33 น.
  • สาธิต 😱
    ไม่ใช่แค่สติปัญญา สายตา สมาธิ เท่านั้น ถ้าเสพข่าวสารข้อมูลผิดๆ เด็กก็คิดว่า อันนั้นล่ะถูกต้อง ทำตาม เข่นสอนให้ด่าพ่อแม่ สอนให้รังแกคนอื่น ไม่ใกล้ ไม่ไกล พิธีไหว้ครู เด็กประถม จะไปรู้ไม๊ว่า ชูสามนิ้ว หมายถึงอะไร ใครเป็นคนบอก ลองคิดกันดูเองครับ รักลูกรักหลานให้เล่นได้ครับ แต่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็ควรเฝ้าให้อยู่ในสายตาด้วย สอนสิ่งผิดถูกให้เด็กๆ อย่าให้เด็กคิดกันเอาเอง เด็กๆ ไม่มีประสบการณ์เหมือนผู้ใหญ่น่ะครับ
    15 มิ.ย. 2562 เวลา 19.33 น.
  • ✮ Jettapat ✮
    ผู้ใหญ่ยังคิดไม่ได้เลย 555
    15 มิ.ย. 2562 เวลา 16.28 น.
  • Manisilaphat
    ตาพังเร็ว เทคโนโลยีทำคนตาพัง
    15 มิ.ย. 2562 เวลา 12.11 น.
ดูทั้งหมด