ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RIA และสถานีโทรทัศน์ Rossiya 1 ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ระบุว่า ปัจจุบันมีเพียงสหรัฐฯ และรัสเซียเท่านั้นที่มียุทโธปกรณ์สำหรับการใช้งานกับอาวุธนิวเคลียร์ครบ 3 ด้าน ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด ขีปนาวุธยิงจากภาพพื้นดิน และเรือดำน้ำยิงขีปนาวุธ แต่ยุทโธปกรณ์ของรัสเซียมีความก้าวหน้ากว่าสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
ประธานาธิบดีปูตินยังระบุว่า แม้สหรัฐฯ ยังคงพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าอาวุธเหล่านี้ยังไม่สามารถนำมาใช้งานได้ในอนาคตอันใกล้พร้อมทั้งแสดงความมั่นใจว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศยังไม่น่าเกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯมีบุคคลากรเป็นจำนวนมากที่เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์อเมริกัน-รัสเซีย รวมถึงประธานาธิบดี โจ ไบเดน ด้วย
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีปูตินย้ำว่า รัสเซียพร้อมใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ หากเกิดภัยคุกคามต่ออธิปไตยและเอกราชของประเทศ รวมทั้งเตือนว่า หากทหารสหรัฐฯ ถูกส่งเข้าสู่สมรภูมิยูเครน บุคคลเหล่านี้จะถือว่าเป็นผู้แทรกแซงกิจการภายใน
โดยในประเด็นการสู้รบกับยูเครนนั้น ประธานาธิบดีปููตินยืนยันว่าพร้อมเข้าสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพที่ต้องสร้างหลักประกันด้านความมั่นคงให้กับรัสเซียและไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือซื้อเวลาให้กับยูเครนที่กำลังรอความช่วยเหลือด้านอาวุธจากพันธมิตรชาติตะวันตก
สำหรับคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันรัสเซียหลายแห่งและพื้นที่ตามแนวชายแดนเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
หนึ่งในจุดที่ถูกโดรนโจมตีคือโรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาค "เรียซาน" (Ryazan) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมอสโกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 200 กิโลเมตร เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดเพลิงไหม้และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน
ขณะที่ มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวหาสหรัฐฯ ว่า ได้วางแผนโจมตีไซเบอร์ต่อระบบอิเล็กทรอนิกส์ยของรัสเซียระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15-17 มี.ค.
นอกจากนี้ ซาคาโรวายังเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งให้องค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่งทำลายการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียด้วยการทำให้ผู้ออกมาลงคะแนนเสียงมีจำนวนลดน้อยลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“เนทันยาฮู” ผู้นำอิสราเอล เมินคำปราม “ไบเดน” ยันบุกถล่มราฟาห์