ไม่คิดว่าอันตราย โดนพิษกิ้งกือ เป็นแผลแสบร้อน เตือนเฝ้าระวังฤดูฝน เผยกิ้งกือมีพิษอยู่ตามลำตัว ซึ่งจะปล่อยพิษออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้โดนสัตว์อื่นทำร้าย
เป็นอีกเรื่องราวที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อว่า‘หนานกานต์ สงกรานต์ แสงกาบแก้ว’ แชร์เรื่องราวการโดนพิษกิ้งกือผ่านเพจ ‘แม่แฝกใหม่ เฮาฮักกั๋น’ พร้อมระบุข้อความว่า “เตือนกันนะครับ เฝ้าระวังลูกๆหลานๆ ตวยเน้อช่วงนี้ มันนักนา กิ้งกือมีพิษเน้อครับ”
วันที่ 7 มิ.ย.66 นายสงกรานต์ แสงกาบแก้ว เจ้าของโพสต์ เปิดเผยกับ “ข่าวสดออนไลน์” ว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าช่วงนี้เป็นฤดูฝน สัตว์จำพวกกิ้งกือกับตะขาบค่อนข้างเยอะ เพราะมีความชื้น ซึ่งเรื่องราวที่ตนโพสต์ไปนั้น เป็นเรื่องราวของหลวงพี่ที่อาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งภาคเหนือ ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง วันเกิดเหตุมีโยมมาทำบุญ ท่านจึงรีบใส่รองเท้าแล้วเดินไปแบบยังไม่ทันได้ดู แต่พอเวลาผ่านไปไม่ถึง 30 นาที เริ่มมีอาการแสบร้อน ปวด บวม เป็นแผลไหม้ ที่บริเวณนิ้วเท้า พอมีอาการท่านรีบไปล้างสบู่ก่อน แล้วหาสาเหตุว่าโดนอะไรก่อนจะพบว่ามีกิ้งกืออยู่ในรองเท้า แล้วรีบไปโรงพยาบาลแล้วคุณหมอแจ้งว่าโดนพิษของกิ้งกือ
หลายคนอาจไม่รู้ว่ากิ้งกือมีพิษ เพราะปกติกิ้งกือจะไม่กัด เวลามีคนไปจับก็ไม่เคยเป็นอะไร ซึ่งเมื่อหลวงพี่ไปหาหมอ คุณหมอแจ้งว่า กิ้งกือมีพิษอยู่ตามลำตัว ซึ่งจะปล่อยพิษออกมา เพื่อป้องกันตัวไม่ให้โดนสัตว์อื่นทำร้าย และเมื่อโดนพิษเข้าไปก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังไหม้และแสบร้อนได้ สำหรับการรักษาก็จะเป็นการรักษาเหมือนกับที่โดนไฟไหม้น้ำร้อนลวก แต่จะมียาฆ่าเชื้อเพิ่มเข้ามา เพราะกลัวว่าเชื้อหรือพิษของสัตว์กิ้งกือจะลุกลามไปที่อื่น ซึ่งอีก 3 วันคุณหมอก็นัดหลวงพี่ให้ไปติดตามอาการอีกครั้ง
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยากให้ระวังเวลาจะสวมรองเท้าหรือทำอะไรพยายามตรวจสอบดูให้ถี่ถ้วน เพราะว่าสัตว์พวกนี้ชอบไปอาศัยอยู่ตรงที่อับชื้น ยิ่งถ้าเป็นรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้ยิ่งต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ตนจะรู้สึกเป็นห่วงมากที่สุด เพราะว่าเวลาสวมรองเท้าหรือเวลาวิ่งเล่นที่ลานบ้านอยากให้ดูแลใกล้ชิด
“จากที่คิดว่ากิ้งกือเป็นสัตว์ไม่น่ามีอันตราย พอมาเจอแบบนี้ต้องมองใหม่ ถือว่าเป็นภัยใกล้ตัว แล้วก็อยากให้กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวัง ไม่ใช่แค่เฉพาะกิ้งกือ แต่ยังมีสัตว์ชนิดอื่นด้วย ทั้งงู และตะขาบ ที่มักจะมาพร้อมฤดูฝนนี้นะครับ พวกนี้ต่างก็มีอันตรายทั้งสิ้น”