ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ผมเดินทางกลับจากต่างประเทศ ผ่านด่านสนามบินนานาชาติของสยามประเทศ พบว่ากระเป๋าเดินทางของผมถูกง้างออก ของมีค่าภายในกระเป๋าหายไปอย่างลึกลับ
ในเมื่อจับมือใครดมไม่ได้ ก็ทำอยู่สองอย่าง
1 ทำตาปริบ ๆ
2 ทำใจ
ในชีวิตผมเคยโดนโกงหลายครั้ง รวม ๆ กันก็เป็นล้าน
มีสองครั้งที่คนโกงบอกว่า อยากได้เงินคืนก็ไปพึ่งกระบวนการทางกฎหมายเอาเอง
คำนวณเวลาและค่าปรึกษาทนายแล้ว ก็ทำอยู่สองอย่าง
1 ทำตาปริบ ๆ
2 ทำใจ
เจ็บปวดมากเมื่อคิดถึงเงินที่หามายากเย็นถูกปล้นไปหน้าตาเฉย
สองปีก่อนเพื่อนคนหนึ่งเจอประสบการณ์คล้ายกัน กระเป๋าเดินทางหายไปทั้งใบ ขณะผ่านด่านเข้าเมืองแห่งหนึ่งในแดนสยามเมืองยิ้ม
แต่เขายิ้มไม่ออกเพราะเมื่อไปแจ้งความ กลับพบท่าทีของผู้รักษากฎหมายที่บอกว่ามันเป็นเรื่องเล็ก “ก็แค่กระเป๋าใบเดียวหาย” ยิ่งทำให้ช้ำใจ เหมือนถูกข่มขืนแล้วบอกว่า แต่งตัวยั่วโจรเอง
จะว่าไปแล้ว คนถูกกระทำก็เหลือทางเดียวเท่านั้นคือพึ่งธรรมะ ทำใจ
……….………………………………………………………………………
ตอนมากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ผมได้ยินประโยคนี้เป็นครั้งแรกเมื่อของใครคนหนึ่งหาย “ถือว่าฟาดเคราะห์” และ “ปลงเสียเถิด แม่จำเนียร”
แปลว่า ของหายน่ะแล้วดี เป็นการลดเคราะห์ใหม่ให้เบาบางลง
คนไทยมักมีวิธีมองโลกในแง่ดี มองเรื่องร้ายเป็นดี เช่น ของหายก็ว่าฟาดเคราะห์ ไฟไหม้บ้านก็ว่าดีแล้ว ก็ทำใจโดยโยนให้กรรมเก่าบ้าง ชดใช้กรรมเก่าคงช่วยลดกรรมใหม่บ้าง จะได้หมดกรรมเสียในชาตินี้ มันเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่มีเหตุผลทางจิตวิทยา
เอาละ ความจริงยังมีวิธีมองเรื่องนี้อีกมุมหนึ่ง คือมุมของนักบัญชี
สมมุติว่าทุกอย่างในโลกคิดเป็นเงินได้ เราตีค่าความสุขของเราเท่าไร ? หากเงินซื้อได้ทุกอย่างในโลก เราจะยอมจ่ายเงินเพื่อไม่ให้อารมณ์เราเสียไหม ?
สมมุติว่าค่ากระเป๋ากับข้าวของภายในคิดเป็นเงิน 5,000 บาท ค่าความทุกข์จากกระเป๋าหาย กลุ้มใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ความเครียดพัวพัน ความดันพุ่ง ค่าหมอ คิดเป็นค่าเงิน 20,000 บาท
ความเสียหายจึง = 5,000 + 20,000 = 25,000 บาท
ถ้าต้องหงุดหงิดทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ไปอีกหลายปี ค่าใช้จ่ายก็มากกว่า 25,000 บาท
สมมุติว่าทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นี้แล้วหัวใจเต้นแรง ความดันพุ่งขึ้น เซลล์สมองตายไปจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้อายุสั้นลง ก็แปลว่ามีเวลาหาเงินน้อยลง สมมุติว่าเราสามารถตีเป็นค่าเงินได้ 10,000 บาท ทุกครั้งที่เราเครียดเพราะเรื่องกระเป๋าหาย ก็เสียเงิน 10,000 บาท กลุ้มใจสิบครั้ง ก็เป็น 100,000 บาท
แต่หากปล่อยวางเรื่องนี้แต่วันแรก ก็เสียแค่ 5,000 บาท
คิดตามหลักบัญชีง่าย ๆ ได้ว่า ปล่อยวางแต่แรก จ่ายน้อยกว่า
ถ้าปล่อยวางได้ สิ่งที่เสียไปคือทรัพย์สินอย่างเดียว
ถ้าไม่ปล่อยวาง สิ่งที่เสียไปคือทรัพย์สิน + ความทุกข์ทุกครั้งที่คิดถึงมันไปตลอดชีวิต
คิดแบบกำไร-ขาดทุน ปล่อยวางคุ้มกว่า
มันคือ Damage Control นั่นเอง เป้าหมายคือเสียน้อยที่สุด
นี่อาจเป็นอุบายหนึ่งในการลดทุกข์ที่เกิดจากวัตถุ
บางทีคนโบราณอาจพูดไม่ผิดเมื่อบอกว่า เมื่อเกิดเรื่องเสียทรัพย์ ให้คิดว่า “ฟาดเคราะห์”
ฟาดเคราะห์ร้ายด้วยความเข้าใจ
ฟาดความซวยด้วยการปล่อยวาง
ฟาดเคราะห์ไปแล้ว ก็เดินหน้าชีวิตต่อ ไม่คิดถึงความทุกข์ของเรื่องนั้นอีก
ถ้าทำได้อย่างนี้ บางทีค่าฟาดเคราะห์อาจจะคุ้ม
ไม่งั้นก็ต้องทำตาปริบ ๆ ไปตลอดชีวิต
วินทร์ เลียววาริณ
Wicha เมื่อก่อนต้องไปหาหนังสือมาอ่าน วันนี้เจอท่านในแอปฯ ไลน์ 55 ชอบมากครับ
10 มี.ค. 2563 เวลา 00.08 น.
khem ปรึกษาท่านทักษิณได้นะ
09 มี.ค. 2563 เวลา 23.43 น.
Puttichai คนดีจะคิดว่าเป็นกรรมเก่าที่ต้องชดใช้ คนไม่ดีก็คิดว่าเป็นกรรมเก่าที่ถูกเค้ากระทำก็เลยต้องเอาคืน 555
09 มี.ค. 2563 เวลา 23.37 น.
🅿️📀♏✨ ไอ้เจ๊กสลิ่ม
09 มี.ค. 2563 เวลา 23.20 น.
NONAME เคยได้ยินแต่พลาดเคราะห์ ฟาดเคราะห์พึ่งได้ยินจากบทความนี้นี่แหล่ะค่ะ
09 มี.ค. 2563 เวลา 14.53 น.
ดูทั้งหมด