ถ้าได้ยินเพลงที่มีเสียงเปียโนใส ๆ เพราะ ๆ นำมาเมื่อไร เราจะเดาออกในทันทีว่าเพลง ๆ นั้นจะต้องเป็นของศิลปินหนุ่มอารมณ์ดีอย่างโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ จากหนึ่งในสมาชิกของวง B5 สู่บทบาทศิลปินเดี่ยวที่ทั้งเล่นและร้อง อยู่ในทั้งขั้นตอนเบื้องหน้าและเบื้องหลังของผลงานตัวเอง คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ คือศิลปินคุณภาพของวงการดนตรีบ้านเราคนหนึ่ง
วันนี้ที่ LINE TODAY ได้มาเจอกับโต๋ มันคือการเดินทางบนเส้นทางดนตรีครบรอบ 16 ปีพอดิบพอดี เขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 หลังจากที่ห่างหายไปช่วงใหญ่ ๆ และคอนเสิร์ตเดี่ยวอีกหนึ่งรอบการแสดงที่กำลังจะมาถึง เราเลยขออัปเดตชีวิตในหัวข้อที่ทั้งสนุกและลุ่มลึก กลายเป็นบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ที่อยากให้ได้อ่านกัน
ลองไปรู้จักกับโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ในเวอร์ชั่นอัปเดตล่าสุดนี้กันดู และคุณคงจะได้ตกหลุมรักกับผู้ชายคนนี้ในรอบที่ 2,3 และ 4 หรืออาจจะมากกว่านั้นแน่นอน
โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ ในเวอร์ชั่นที่พูดเก่งขึ้น (มาก)
โต๋ : นี่ดีนะที่มาสัมภาษณ์ตอนนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนเราคงตอบแค่ว่า “ครับ ๆ” อย่างเดียวละ (หัวเราะ) เราว่ามันเป็นการเดินทางของศิลปินแต่ละคนแหละ ตอนวันแรกเราเข้ามาในฐานะนักดนตรี ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก โดยเฉพาะที่เราชอบอยู่หลังเปียโนด้วย เพราะรู้สึกว่าที่นี่คือพื้นที่ของเรา อย่างอื่นไม่ต้องมายุ่งเยอะ พูดง่าย ๆ คือไม่ชอบที่จะทำอะไรนอกเหนือไปกว่าการเล่นดนตรีเลย จนเพลง “รักเธอ” ออกมาแล้วดันดัง ก็มาคิดกับตัวเองว่าฉิบหายแล้ว เราต้องมาเป็นนักร้องแล้วหรอวะเนี่ย ตอนนั้นไม่ได้ชอบเลยนะ เพราะเรามีความสุขอยู่ที่หลังเปียโนจริง ๆ แต่พอผ่านมาก็ค่อย ๆ ปรับตัวเอง ต้องลุกออกไปสัมภาษณ์ ไปเจอผู้คนบ้าง ร้องเพลงจริงจังมากขึ้น และหลัง ๆ มานี้ก็มีทั้งงานรายการและการแสดงด้วย มันก็เป็นชาเลนจ์ใหม่ ๆ ดีครับ
เวลาเจอชาเลนจ์ใหม่ ๆ ในชีวิต อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงบทบาทในตอนนั้น หรือการปรับตัวเองเพื่อการเป็นศิลปิน เรารับมือกับมันอย่างไร
โต๋ : เรื่องที่ดีคือเราเป็นคนที่เปิดรับชาเลนจ์ เรารู้สึกว่ามันทำให้เรามีเป้าหมาย ทำให้เราได้ท้าทายตัวเอง จะเป็นคนที่ไม่ชอบวันว่าง ๆ ที่ตื่นมาแล้วเกิดคำถามว่าทำอะไรดีวะ ไม่ชอบการล่องลอย การมีชาเลนจ์มันทำให้เราตื่นเต้น ได้เจออะไรใหม่ และได้ทดสอบตัวเอง พัฒนาทักษะไปด้วย สมมติว่าเล่นเกมมาริโอแล้วเคลียร์ไปแล้ว 10 รอบ เรายังจะเล่นอีกไหม มันก็ต้องปรับให้มันยากขึ้นถูกไหมล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะเล่นวนไปเรื่อย ๆ ชนะแล้วมีความสุขใช่ไหม มันก็ต้องปรับให้ยากขึ้น
ถึงบุคลิกจะเปลี่ยนไปเป็น ‘โต๋’ ที่แอคทีฟมากขึ้นในเบื้องหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงก็คือตัวตนเชิงบวกในการผลิตเพลงออกมา
โต๋ : เคยลองแล้ว ลองที่จะดรามาแล้วแต่มันไม่ดัง (หัวเราะ) คือเราเป็นคนที่ positive อยู่แล้วและเราเป็นคนที่ทำเพลงจากสิ่งที่ตัวเองอินและรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าเราไม่อินกับเพลงอกหักแล้วให้ร้องเพลงดาร์ก ๆ มันก็จะไม่ได้เศร้าเสมือนโดนมีดแทง หรือว่าดรามาหนักมากเท่ากับคนอื่น ๆ มีคนถามอยู่เรื่อย ๆ แหละว่าไม่ลองทำเพลงแนวอกหักบ้างหรอ อกหักมันขายได้นะ แบบเวลาไปผับ คนก็อิน ชูมือแล้วร้องตามกันหมด แต่เราจะเป็นแนวที่ว่าถ้าผิดหวังก็มูฟออนมากกว่า ไม่ได้จมอยู่กับอะไรนาน ๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีใครถูกใครผิดนะว่าเพลงเชิงบวกดี เพลงอกหักไม่ดี แล้วแต่ว่าใครอินอะไรมากกว่า
จริง ๆ ถ้าฟังในอัลบั้มที่ผ่านมา มันก็มีเพลงอกหักโผล่เข้ามาบ้างแหละ แต่มันก็จะได้แค่ระดับนึง มันจะไม่ได้ดำมาก แต่จะเป็นเพลงสีเทา ๆ เข้ม ๆ ยกตัวอย่างเช่น “สักวันคงได้เจอ” เพลงนี้ไม่ใช่เพลงรักนะ มันเป็นเพลงเศร้าของคนที่ไม่มีแฟนและยังไม่เจอความรักที่สมหวังสักที เราก็มาคุยกันว่าอยากเล่ายังไงให้สื่อว่าโลกมันก็ไม่ได้สวยงาม แต่ก็ไม่ต้องไปเนกาทีฟกับมันจนเกินไป อยู่ใน area ที่มันเทาแต่ก็ใส่ความบวกให้กับมันเข้าไป สุดท้ายแล้วเราก็รู้สึกว่าแนวนี้มันใช่ตัวเราแล้ว”
รับพลังบวกมาจากไหน
โต๋ : สิ่งนึงที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองก็คือเราเป็นคนจริงจังเกินไป ด้วยความที่เป็นเด็กเล่นเปียโน เรียนเปียโนคลาสสิกด้วย เล่นเปียโนไม่พอ เรียนก็เป็นนักเรียนทุน ได้เกียรตินิยม คือชีวิตนี้ซีเรียสมาก ๆ ต้องทำให้ได้ดีและจริงจังกับทุกอย่างมาก ๆ อย่างตอนขึ้นคอนเสิร์ตครั้งแรก ทุกอย่างต้องออกมาดีห้ามผิดพลาด ซึ่งสิ่งนี้จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่พอเราโตขึ้น เราเพิ่งเข้าใจว่าเสน่ห์ของมันก็คือความไม่เพอร์เฟกต์ ความที่มันไม่เนี้ยบไปอะ
เมื่อก่อนขึ้นเวทีคิดอย่างเดียวเลยว่าฉันจะต้องเล่นให้ดี เล่นให้เป๊ะแบบที่ซ้อมไว้ ถ้าไม่พลาดอันนั้นคือความสุข เดี๋ยวนี้กลับกัน เราเอาความสุขตั้งไว้ คือแค่ได้เล่นให้คนฟัง เราก็มีความสุขละ ไม่ว่าผู้ชมจะให้เรากลับแบบเต็มร้อยหรือน้อยกว่าเราก็แฮปปี้ละ เพราะความสุขของเราถูกตั้งไว้ตั้งแต่เริ่ม ชิงมีความสุขก่อน อย่าเอาความสุขไปแขวนไว้บนความสำเร็จว่ามันต้อง success ก่อนเราถึงจะมีความสุขได้ พอคิดอย่างนี้ได้ชีวิตมันสุขได้ง่ายเลย มัน let go ปล่อยวางได้ง่ายกว่า เพราะว่าไม่เจอเรื่องที่แย่ แต่ถ้าเราหามุมบวก ชิงมีความสุขก่อนอะ มันจะเจออะไรก็ได้ ฉันโอเค
สมมติว่าเป็นวันที่แย่มาก ๆ ทำยังไงให้ตัวเองนิ่งได้
โต๋ : เรามีประโยคนึงที่คิดเอาไว้ตลอดเวลาเกิดเรื่องแย่ ๆ หรืออะไรที่ไม่ได้เป็นตามหวัง คิดตลอดว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนประโยคภาษาอังกฤษที่พูดกันว่า “This too shall pass” ซึ่งประโยคนี้เราก็เอามาแต่งเพลงไปแล้ว ชื่อว่า “สักวันแล้วมันก็ผ่านไป” เป็นเพลงที่ไม่ได้ปล่อยเป็นซิงเกิ้ลหรอก แต่ได้รับความนิยมช่วงตอนที่น้ำท่วมกรุงเทพปี 55 สถานีโทรทัศน์หลาย ๆ ที่ก็เอาเพลงนี้มาประกอบ มันพูดว่าสักวันก็ผ่านไป อะไรที่เกิดแล้วเดี๋ยวมันก็จบไป เดี๋ยวก็มีอะไรใหม่เป็นอย่างนี้ทุก ๆ วัน ทุกวันเจอเรื่องแย่ ๆ บางทีก็ทำให้เราหัวร้อนแบบพีกจนแดงจนไม่ไหวละนะ ก็ท่องเอาไว้ว่าสักวันเดี๋ยวมันก็ผ่านไป วันนี้วันที่ 30 พรุ่งนี้ก็วันที่ 31 แล้วอะ ทำให้ดีที่สุดแล้วปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ว่าจะดีจะร้าย มันก็ผ่านไปหมดอะ อย่าไปยึดติดกับสักอย่าง
อยู่กับเปียโนมาหลายปี เคยเห็นเปียโนแล้วรู้สึกโกรธบ้างไหม ประมาณว่าวันนี้ไม่อยากจะยุ่งกับแกอีกแล้ว
โต๋ : ไม่เคยโกรธเปียโนหรอกแต่เคยเบื่อบ้าง เป็นช่วงที่เราหายไป 3 ปีเต็ม ๆ ตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2015 ไม่แต่งเพลงเลย กลับถึงบ้านก็รู้สึกไม่อยากแตะ ไม่อยากจับ ไม่อยากเล่น มันมีการเปลี่ยนแปลงในตัวแต่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นรูปธรรมได้ เราก็เลยเลิกแต่งเพลง
มันเหมือนภาวะหมดแพสชั่นหรือเปล่า
โต๋ : มันคือช่วงที่เรา burn out เพิ่งอ่านในบทความเองว่าต่างประเทศเขาบัญญัติอาการนี้เป็นโรคแล้ว พอเวลาคุณทำงานเยอะ ๆ คุณจดจ้องกับอะไรอย่างหนึ่งมาก ๆ แล้ววันนึงมันแห้งอะ มันรู้สึกว่าหมดไฟในการทำอะไรเดิม ๆ แล้ว อย่างโต๋คือตั้งแต่เข้าวงการมาปี 2003 จนถึง 2012 เกือบ 10 ปีเราออกอัลบั้มทั้งหมด 10 อัลบั้มนะ ต้นปีท้ายปี ปั่นผลงานออกมาแบบไม่หยุดพักเลยจนพี่บอย โกสิยพงษ์ มาเตือนว่า ‘ระวังหมดไฟนะ’ ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจคำนี้หรอกเพราะเรายังวัยรุ่นอยู่ อยากทำงานออกมาเยอะ ๆ แต่พอช่วงที่มันหมดแล้ว รู้เลยว่ามันหมดจริง ๆ
เราถอยหลังมาแล้วก็คิดใหม่ คิดว่าอายุของการเป็นศิลปินเบื้องหน้าของเรามันคงหมดแล้ว เพราะก็เข้าใจว่าศิลปินทุกคนมีเวลาของตัวเอง เราก็คิดเตรียมไว้แล้วว่าน่าจะไปเป็นโปรดิวเซอร์อยู่เบื้องหลังดีกว่า คิดอย่างนั้นจริง ๆ ถึงคนรอบข้างจะยังคอยซัพพอร์ต แต่เมื่อคุณหลังชนเชือกแล้วอะ บางทีมันก็ก้าวต่อไปไม่ได้ ต้องดิ้นให้หลุด และพอหลุดออกมาได้แล้ว คุณจะเข้าใจทุกสิ่งเลยและเห็นคุณค่าในทุก ๆ อย่างเลย
เราถอยกลับมาตั้งหลักใหม่เลย เป็นช่วงที่เปลี่ยนความคิดทุกอย่าง เพิ่งมารู้ตัวว่าก่อนหน้านี้เราบ้าทำแต่งาน แต่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตจริง ๆ สักครั้งเลย ช่วง 3 ปีที่หายไปก็ใช้เวลาไปเที่ยว อยากเที่ยวคือเที่ยว อยากเจอเพื่อนก็ไปเจอเพื่อน ไม่ได้มีว่าต้องมาพะวงเรื่องงาน คิดอย่างเดียวว่าเราต้อง live a life ต้องใช้ชีวิตอะ มันน่าตลกตรงที่ว่าเราร้องเพลงรักมา 10 ปี แต่ไม่เห็นจะรู้จักเลยว่าความรักจริง ๆ เป็นยังไง ดูแลคน ๆ นึงยังไง ชีวิตเราเลยไม่เคยมีวัตถุกิบที่จะทำให้เราได้อินกับการทำเพลงรักเลย เหมือนเป็นผู้ชายอบอุ่นร้องเพลงรักแต่ยังไม่เคยได้ดูแลใครจริง ๆ พอได้ปรับชีวิตตัวเอง ก็เลยทำให้เข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
“ชีวิตศิลปินมันมีขึ้นมีลงกันหมดแหละ แต่สิ่งที่เราเรียนรู้อย่างหนึ่งช่วงที่เราอยู่ในจุดที่ดาวน์ที่สุดและกลับขึ้นมาใหม่ได้คืออย่า take it for granted อย่าคิดว่าสิ่งที่ได้มาจะอยู่กับเราไปตลอด ทุกอย่างมันมีสิทธิ์ที่จะหมด วันนึงเรามี อีกวันหนึ่งเราก็ไม่มีมันแล้วก็ได้”
รีเฟรชตัวเองใหม่ ผลงานใหม่ และแนวเพลงใหม่ ๆ
โต๋ : ทูเดย์คืออัลบั้มที่กำลังจะออกมา จะไม่ได้มีวางขาย แต่ทุกคนที่มาดูคอนเสิร์ตจะได้ไปเลย ใช้คำว่า “ทูเดย์” ก็เพราะเราอยากจะอัปเดตให้ทุกคนได้รู้ว่าโต๋เวอร์ชั่นปี 2019 เนี่ย เป็นยังไงบ้างแล้ว บางคนรู้จักกันตั้งแต่วันแรกตอน 16 ปีก่อน ระหว่างทางมันมีการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่แนวเพลง ทรงผม มันมีการเดินทางระหว่างช่วงเวลานั้น อยากให้เขาได้มาทำความรู้จักกันใหม่ว่าโต๋ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง และในขณะเดียวกันเราอยากเห็นการเติบโตของแฟนเพลงของเราด้วย บางคนอาจจะอุ้มลูกมา บางคนเรียนจบทำงาน บางคนเป็นด็อกเตอร์แล้ว เหมือนเป็นเพื่อนที่โตไปพร้อม ๆ
3 ซิงเกิ้ลล่าสุดกับความรัก 3 รูปแบบ
โต๋ : ซิงเกิ้ลแรก “ยิ้มก็พอ” มีน้อง Wonderframe มาฟีเจอริ่งด้วย จริง ๆ มันมาจากประโยคที่ว่า ‘ผู้ให้มีสุขกว่าผู้รับ’ เราอยากทำให้อะ แค่นั้นก็มีความสุขละ คอนเซปต์นั้น ซิงเกิ้ลที่ 2 คือ“รักเลยได้ไหม” สำหรับเราแล้ว มันเป็นเพลงลองของอย่างหนึ่ง เป็นแนว experimental เพราะยังไม่เคยทำเพลงที่มีซาวด์ดิสโก้ EDM ขนาดนี้ อยากให้เป็นเพลงที่มันสนุกสนานขึ้นมาหน่อย ซิงเกิ้ลที่ 3 “เขตห้ามหวง” เนี่ย ขึ้นมาไม่กี่ประโยคก็รู้เลยว่าเป็นเพลงของโต๋ เอาการแอบรักมาทวิสต์คำ แมสเสจประมาณว่าเราแอบชอบเธออย่างเดียว แอบส่องอยู่ทุกวันเลยและก็ไม่อยากให้เธอมีแฟน แต่ก็ห้ามหวงเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน อะไรประมาณนี้
คอนเสิร์ตเดี่ยวแบบเต็มรูปแบบอีกหนึ่งครั้งของ โต๋ ศักดิ์สิทธิ์
โต๋ : เล่นคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองครั้งล่าสุดคือที่อิมแพ็ค อารีน่าปี 2009 ถ้าตอนนี้มองย้อนกลับไป วันนั้นเราก็ไม่คิดว่าเราจะมีวันนี้ วันนั้นไม่ลุกจากเปียโนเลย ตอนนี้เรารู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลง บทเรียน ประสบการณ์ การที่เราได้ก้าวออกมาจากเซฟโซน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้ง 16 ปีเนี่ย มันหล่อหลอมให้เราเป็นโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ เป็น iOS เวอร์ชั่นนี้ เฮ้ย ไม่ได้ดิ เดี๋ยวคนใช้ Android โกรธ (หัวเราะ) เหตุผลส่วนตัวเลยคืออยากเล่นเวอร์ชั่นของโต๋ 2019 ให้ทุกคนได้ดู เพราะบางคนที่เติบโตมาพร้อมกันยังจำภาพเก่า ๆ อยู่ แต่ยังไม่เคยได้มุมอื่น ถ้าไม่เล่นวันนี้ก็ไม่รู้จะเล่นวันไหนแล้วอะ
คอนเสิร์ต TOR SAKSIT วันที่ 31 สิงหาคม 2562 เริ่มขายตั๋ววันที่ 29 มิถุนายน 2562 ทางเว็บไซต์ THAITICKETMAJOR และรอบพรีเซลวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ทางหน้าเฟซบุคแฟนเพจTOR Saksit Vejsupaporn
anne🤍 อ่านแล้วได้พลังบวกคะ💟นึกถึงคนๆนึงด้วย
27 มิ.ย. 2562 เวลา 14.12 น.
Napat🍨 👍
27 มิ.ย. 2562 เวลา 15.18 น.
Weerasak1627 like
27 มิ.ย. 2562 เวลา 13.49 น.
ไปดูแน่ๆคะผัวขา....
27 มิ.ย. 2562 เวลา 21.42 น.
🪷 น้องมาร์เบล🪷 สุดยอด!!!
27 มิ.ย. 2562 เวลา 14.58 น.
ดูทั้งหมด