“การสัก” เป็นที่แพร่หลายในอุษาคเนย์มาแต่โบราณ โดยเฉพาะกลุ่มชนที่อยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปจากประเทศไทยซึ่งเดิมเคยเป็นอาณาจักรล้านนา ล้านช้าง เข้าไปจนถึงรัฐฉานในพม่า รวมถึงสิบสองปันนาและสิบสองจุไทในประเทศจีน
ลวดลายการสักซึ่งเป็นที่นิยมของแต่ละกลุ่มก็แตกต่างกันไป อย่างกลุ่มลาวพุงดำ (ที่คนไทยเรียก) ก็เป็นกลุ่มที่นิยมสักจนทั่วร่างกาย บางรายสักทั้งตัวเว้นไว้แต่เพียงหน้าผาก ส่วนกลุ่มลาวพุงขาวก็เป็นกลุ่มที่นิยมการสักตั้งแต่เข่าไปถึงต้นขาส่วนบน ไม่สักเลยขึ้นมาถึงเอวหรือพุงอย่างลาวพุงดำ
ประเพณีการสักยังได้รับความนิยมในหมู่ชาวไทในสิบสองปันนาและสิบสองจุไทในประเทศจีน ซึ่งพระอริยานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาชัย จังหวัดมหาสารคามได้เล่าถึงตำนานอันเป็นที่มาของของประเพณีการสักของกลุ่มชนทั้งหลายบริเวณตอนเหนือของประเทศไทยขึ้นไปไว้ว่า
“ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน บรรดาหัวเมืองต่างๆ พากันยกทัพมาแย่งชิงองค์พระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีเมืองจำปา เมืองสักกะ เมืองวิเทหะ กรุงราชคฤห์ มาแย่งชิงเอาไปหมด จนชั้นที่สุดก็เกิดการรบราฆ่าฟัน แต่อาศัยโฑณพราหมณ์ ผู้ที่แจกองค์พระสารีริกธาตุให้กับบรรดาหัวเมืองต่างๆ ได้ชี้แจงเพื่อให้เกิดความสามัคคีธรรม แล้วบรรดาหัวเมืองต่างๆ ต่างแยกย้ายกันกลับไปโดยไม่เกิดศึกสงครามต่อกัน
ครั้นต่อมาบังเอิญพวกยูนนาน หนองแส ไปเมืองกุฉินารายณ์ พบกษัตริย์วัลลิปาโมกข์ เพื่อขอองค์สารีริกธาตุ กษัตริย์วัลลิปาโมกข์ตลอดจนโฑณพราหมณ์ก็ชี้แจงให้ฟังว่าองค์พระสารีริกธาตุหมดแล้ว
บรรดาหัวเมืองที่ได้พระบรมสารีริกธราตุมากกว่าใครก็คือเมืองราชคฤห์ได้แล้วก็แจกจ่ายไปยังบรรดาเมืองเล็กเมืองน้อย เพื่อให้เจ้าเมืองซึ่งเป็น เมืองบริวารของเมืองใหญ่นั้นจัดทำสถูป เจดีย์ บรรจุองค์พระสารีริกธาตุ
ปัญหามีว่า เมื่อกษัตริย์เมืองยูนนาน หนองแส แคว้นสิบสองจุไทไม่ได้อะไร กษัตริย์วัลลิปาโมกข์ก็กล่าวว่า สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็เพียงแต่เถ้าถ่าน กษัตริย์เมืองยูนนาน เมืองหนองแสก็นำเถ้าถ่านนั้นกลับเมืองของตน แล้วพากันอธิษฐาน พระอังคารที่เกิดจากเถ้าถ่านก็แทรกซึมเข้าตามเนื้อ ตามตัว ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า เป็นเหตุให้กษัตริย์ทั้งหลายคงกระพันชาตรีมีกำลังเหมือนช้างสารตลอดจนกระโดดสูงได้ถึง 100 องคาพยพ
สาเหตุนี้เอง ทำให้ชาวไทยยูนนาน แคว้นสิบสองจุไทและน่านเจ้าทั้งหลาย ตลอดพวกไทยใหญ่ พวกเงี้ยว ไทยเข ไทยยาง ไทยลื้อ ไทยเขิน นิยมการสักลายตามเนื้อตัวกลายเป็นเวทย์มนตร์ คาถาและยันต์ต่างๆ”
พิจารณาแล้ว ตำนานดังกล่าวมีลักษณะประสานความเชื่อสองชุด ช่วยให้ความเชื่อท้องถิ่นอย่างการสักเพื่อความคงกระพันชาตรีสามารถอยู่ร่วมกับศาสนาพุทธได้อย่างกลมกลืน ด้วยการอ้างว่ารอยสักอักขระต่างๆ เกิดขึ้นได้ก็ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธองค์เอง
อ้างอิง
“พระอริยานุวัตรกับการสักลาย” โดย ไพโรจน์ สโมสร ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 2 ฉบับที่ 3. พ.ศ. 2524
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 กันยายน 2560
Uncletom แม่งมั่ว สาดดดด
14 พ.ย. 2561 เวลา 15.56 น.
Golf ขับไล่ ศาสนาพุทธ ออกไป
27 ส.ค. 2563 เวลา 05.13 น.
หาญพล จิรภาสอารี 555555 ก๊ากก
27 ส.ค. 2563 เวลา 04.15 น.
:Lamer53 🐐 เพ้อออออะไร ไปเอาความเชื่อแบบนี้มาจากไหนกันหนอเมืองพราหมณ์ เอ้ยย เมืองพุทธ!
15 พ.ย. 2561 เวลา 06.23 น.
ดูทั้งหมด