ไลฟ์สไตล์

สะพายกล้องท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับผู้ชายที่ชื่อ "ศุภรุจ เตชะตานนท์"

LINE TODAY
เผยแพร่ 22 พ.ย. 2561 เวลา 11.00 น. • Text: pimphicha / VDO: @mintnisara

จากนักร้องหนุ่มเสียงดีการันตีด้วยเวทีเดอะสตาร์ สู่บทบาทการเป็นบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ผู้มีความหลงใหลในการถ่ายภาพและการสำรวจทุกซอกทุกมุมในประเทศญี่ปุ่นเพื่อเก็บภาพความประทับใจอวดสู่ทุกสายตาให้ได้ชื่นชม เรากำลังพูดถึงชายหนุ่มที่ชื่อ รุจ - ศุภรุจ เตชะตานนท์ เจ้าของเพจ Outside The Room…

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

จุดเริ่มต้นความหลงใหลในประเทศญี่ปุ่น

“ก่อนอื่นต้องขอย้อนไปสมัยที่เริ่มเข้าวงการใหม่ๆ เราเป็นคนที่ไม่เที่ยวเลย ค่อนข้างเก็บตัว ชอบอยู่บ้าน ถ้าต้องเดินทางไปทำงานที่ไหนไกลๆ ก็คือทำงานเสร็จจะกลับบ้านทันทีโดยไม่อยู่เที่ยวต่อ แต่ด้วยความที่ตอนเด็กๆ เราโตมากับเทรนด์ญี่ปุ่น เช่น ตื่นเช้ามาดู ช่อง9การ์ตูน ฟังทีมพากย์ของน้าต๋อย ฟังเพลง J-Rock เล่นวิดิโอเกมที่เป็นภาษาญี่ปุ่น สิ่งเหล่านี้อยู่รอบตัวเด็กๆ รุ่นเราจนกลายเป็นเหมือนเราถูกปลูกฝังด้วยสิ่งที่เป็นญี่ปุ่นโดยไม่รู้ตัว มาจนเข้าบ้านเดอะสตาร์ก็มีความอยากจะเป็น J-Rock แต่งตัวมีการห้อยโซ่ มีความเป็นพังก์ ผมยาวๆ มัดผมขึ้นไป อย่างที่หลายๆ คนคงเคยเห็นกันนะครับ (หัวเราะอย่างเขินๆ) ก็นับว่าตอนนั้นเราชอบเสพวัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่นมากกว่า ไม่ได้ชอบเที่ยวหรือมีความอยากไปเที่ยว จนกระทั่งมีงานทีต้องไปญี่ปุ่นกับไนน์เอนเตอร์เทน ไปกับนักข่าวเยอะมากๆ เป็นทริปที่เราได้มีโอกาสไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ก็สนุกนะ แต่ยังไม่เปลี่ยนชีวิต หรือเปลี่ยนมุมมองของเราเท่าไหร่ จนกระทั่งได้รับการติดต่อให้ไปเป็นพิธีกรที่งานเทศกาลหิมะที่ซับโปโร ซึ่งงานนี้พี่เบิร์ดไปด้วย อยากให้เราไปเป็นพิธีกรสำภาษณ์พี่เบิร์ด แต่ก่อนได้เจอพี่เบิร์ดก็เป็นพิธีกรท่องเที่ยวก่อนสัก2-3วัน ซึ่งทริปนี้แหละที่เราได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ได้ไปเจอหิมะ ได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น ได้เห็นบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจ เช่นความมีระเบียนวินัย ความยิ้มแย้มแจ่มใส มีใจรักบริการ ทุกคนทุกอาชีพมีความเต็มที่ให้กับกับกาทำงาน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ หลงรักประเทศนี้ขึ้นเรื่อยๆ ครับ”

“จบจากทริปนั้นก็มีโอกาสได้ไปทัวร์ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งกับพี่ที่รู้จักกัน ก็เริ่มซึมซับความชอบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และไปบ่อยๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ มีทั้งไปที่ใหม่ๆ หรือไปซ้ำที่เดิมเช่นภูเขาฟูจิ ก็ไปได้ไม่เบื่อเลย เพราะเวลาต่างกัน บรรยากาศก็ต่างออกไป ที่เดิมสามารถไปได้หลายฤดู”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

การออกเดินทาง และการถ่ายภาพ

“ตอนเด็กๆ ไม่ชอบถ่ายรูปเลย เพราะเป็นเด็กขี้อาย ยิ่งถ้าเราเป็นคนถ่ายภาพอื่นๆ สมัยนั้นกล้องเป็นกล้องฟิล์ม เราถ่ายอะไรก็ต้องเอาไปให้ร้านล้างฟิล์มให้ และด้วยความที่คนที่ร้านรู้จักกับคุณพ่อ ก็จะโดนแซวซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ถ่ายอะไรที่ไม่ดีหรอก แต่เรารู้สึกเขินเวลาโดนแซว ก็เลยไม่ชอบถ่ายรูป ข้ามมาถึงยุคของโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปได้ ถ่ายเสร็จก็เก็บไว้ดูเองในมือถือเราเนี่ยแหละ ตอนนั้นก็ยังไม่อินกับกล้องจริงๆ เท่าไหร่ สมัยนั้นยังคิดอยู่เลยว่าจะซื้อกล้องให้เปลืองทำไม ในเมื่อมือถือก็ถ่ายรูปได้ จนไปเที่ยวทริปซัปโปโรเนี่ยแหละ เราไปเที่ยวหอคอยตอนกลางคืน ถ่ายรูปลงมา อยากส่งไปอวดเพื่อนๆ แต่อย่างที่รู้กันว่ากล้องมือถือไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้ขนาดนั้น ถ่ายออกมาก็เป็นรูปดำๆ มีไฟเป็นดวงๆ เบลอๆ ส่งให้ใครดูเขาก็ถามว่า ถ่ายอะไรมาน่ะ ดูไม่รู้เรื่อง หรือเวลานั่งบนรถเจอวิวข้างทางสวยๆ ยกมือถือขึ้นมาถ่ายไม่มีทางได้รูปที่สวยหรอกเพราะชัตเตอร์สปีดมันไม่เร็วพอ ก็เลยมีความอัดอั้นตันใจว่าทำไมเราถ่ายยังไงก็ไม่สวยนะ และช่วงนั้นเป็นยุคที่อินสตาแกรมเพิ่มมา เราก็อยากมีรูปสวยๆ อวดบ้างนอกจากรูปของตัวเอง อยากเขียนแคปชั่นเท่ๆ ประกอบรูปที่เราถ่าย ก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะซื้อกล้อง ก็หารีวิวอ่านจนเลือกได้แล้วว่าจะเอากล้องรุ่นนี้แหละ ดีแน่ๆ ถ่ายรูปกลางคืนสวยมากๆ ก็เดินเข้าร้านไปซื้อเลย พกเงินไปเลยห้าหมื่น บอกคนขายเลยว่าอยากได้รุ่นนี้ ซื้อเสร็จจ่ายเงินกำลังจะเดินออกจากร้าน คนขายถามว่า เราใช้เลนส์อะไร? ตอนนั้นสตั๊นไปเพราะเคยชินกับการใช้กล้องฟิล์มตอนเด็กๆ ที่บอดี้จะมาพร้อมเลนส์ ไม่รู้มาก่อนว่าถ้าจะเล่นกล้องใหญ่ต้องซื้อเลนส์แยก ด้วยความที่เขินก็เลยถามกลับไปว่าเขาแนะนำตัวไหน เขาก็แนะนำตัว 24 70 จำได้เลยราคาประมาณสี่หมื่นกว่า ก็เลยจัดการรูดการ์ดไปเลยพี่ เดินออกจากร้านตัวเบามาก จ่ายเงินแสนได้ทอนมาไม่กี่พัน (หัวเราะ)”

“กล้องตัวแรกที่ซื้อก่อนไปเที่ยวแค่ 2วัน แทบไม่ได้ฝึกถ่ายก่อนเลย เป็นทริปที่ไม่มีรูปไปอวดใครได้เลยเพราะรู้สึกว่าไม่สวยสักรูป ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่า F คืออะไร Shutter Speed คืออะไร ISO คืออะไร ตอนนั้นกด P อย่างเดียว ปรับแสงไม่เป็น หมุนไปหมุนมาแสงก็มากไปรูปก็ไม่สวย สรุปถ่ายไปถ่ายมา ทริปนั้นใช้ไอโฟนถ่ายเยอะกว่าใช้กล้องจริง จบจากทริปนั้นมาเปิดรูปดูในคอม โอ้โห เบลอทุกรูป! แต่ด้วยความที่เราจ่ายเงินซื้ออุปกรณ์ไปไม่น้อย เราต้องเล่นให้ได้ ก็นั่งอ่านรีวิว อ่านเทคนิคการถ่ายภาพจากอินเตอร์เน็ต ทั้งกูเกิล ดูยูทูป ฯลฯ เอาจนกว่าจะเข้าใจ เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าเราไปเที่ยวเราก็อยากเก็บภาพสวยๆ มาให้คนอื่นดู เวลาเล่าวว่าเราไปเจออะไรมา มันสวยอย่างไรคนอื่นจะได้เห็นไปกับเราด้วย ถ่ายอย่างไรก็ได้ให้ออกมาสวย ให้คุ้มกับเงินเกือบแสนที่เราเสียไปด้วยสิ”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“จากนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ก็เริ่มงอกออกมาตามความต้องการรูปแบบต่างๆ เช่นอยากเก็บภาพมุมกว้าง อยากได้เลนส์ซูม ช่วงนั้นลงทุนกับเรื่องกล้องสุดๆ ยังไม่ต้องคาดหวังใครๆ มาบอกว่าเราถ่ายรูปสวย ขอให้อุปกรณ์ครบไว้ก่อน พอก้าวสู่ปีต่อมาเริ่มอยากลุยถ่ายรูปแล้ว เริ่มมีแรงบันดาลใจในการออกเที่ยวแล้วล่ะ ตอนนั้นมีความฝันอยากถ่ายดาว ถ่ายไฟสวยๆ ก็เริ่มไปถ่ายไฟช่วงเทศกาลปลายปีแถววัดพระแก้ว ไปถ่ายน้ำตก รูปออกมาสั่นๆ มือไม่นิ่ง รูปไม่สวย ขาตั้งกล้องต้องมา ฟิลเตอร์ต้องมี”

“จนกระทั่งวันหนึ่งไปเจอรีวิวเที่ยวชิวาคาราโกะ เห็นรูปแล้วรู้สึกชอบมาก เหมือนบ้านในการ์ตูนที่เราเคยเห็นตอนเด็กๆ เป็นแรงบันดาลใจให้เราเริ่มออกเที่ยวเอง อยากไปถ่ายรูปที่นั่น อยากจะเอาขาตั้งกล้อง อุปกรณ์ที่มี และฝีมือทั้งหมดของเราออกมาใช้ถ่ายรูปที่นี่ให้ได้ วางแผนกับเพื่อน 4คน แล้วออกเดินทาง วางแผนทำการบ้านอย่างดีว่าต้องไปทางไหน นั่งรถไฟอะไร ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เขียนออกมาเป็นตารางออกมาเลย ก็ได้ภาพที่ได้ดั่งใจ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มีเรื่องอยากเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง อยากให้เขารู้ว่าเราไปเจออะไรมาบ้าง มันเปลี่ยนจากความอยากถ่าย อยากแชร์ เป็นอยากเล่า ก็เป็นที่มาของบล็อกในพันทิป โดยที่ตอนนั้นเราก็ใช้นามแฝง ไม่ได้บอกว่าเราเป็นใคร เขียนเล่าเรื่องเอง ลงรูปที่ถ่ายเอง ถ่ายทุกอย่าง ป้ายรถเมล์ ตั๋วรถไฟ มารีวิว ตอนนั้นไม่ค่อยมีคนเขียนเรื่องแนวนี้ พอเรามาเขียนอย่างละเอียด เขียนเยอะก็ได้รับความสนใจ ขึ้นกระทู้แนะนำประมาณ 2อาทิตย์ คนกดไลค์ประมาณห้าร้อยกว่า และมีอยู่รูปหนึ่งที่มีรูปเรากับเพื่อนๆ รวมทั้งหมด 4คน ยืนถือถุงข้าวเซเว่นอยู่ มีคนสังเกตเห็นว่าเป็นเรา ก็เลยรู้กันหมดเลยว่าเราเป็นคนเขียนรีวิวนี้ ก็เลยเป็นโพสต์ที่ได้รับความสนใจ เป็นที่มาของการออกเที่ยวทริปต่อๆ มา ซึ่งหลังจากทริปนั้นเราก็ลองออกลุยเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวเป็นครั้งแรก 12วัน 13เมือง กลับมาเขียนรีวิวอีก 3ตอน ได้เพิ่มทักษะการถ่ายภาพแบบ Time-lapse ขึ้นภูเขาถ่ายดาว ถ่ายพระอาทิตย์ ลงมาถ่ายซากุระต่อ ไปถ่ายภูเขาไฟฟูจิ กลายเป็นติ่งฟูจิไปจนถึงทุกวันนี้”

“ข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียวคือ ไปไหนก็ได้ วางแผนอย่างไรก็ได้ตามใจฉัน เปลี่ยนใจกะทันหันได้ไม่ต้องรอการลงมติ แต่อันที่จริงแล้วที่มาของการเที่ยวคนเดียวคือตอนนั้นไม่มีเพื่อนๆ คนไหนที่ว่างตรงกัน แต่เราอยากไป ก็เลยไปเลยทันที จากนั้นมาก็เลยติดนิสัยไปเที่ยวคนเดียว แต่หากจะมีใครสักคนที่มาร่วมทางกับเราก็อยากให้เป็นคนที่มีความชอบ มีไลฟ์สไตล์ที่ตรงกับเรา เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า ถ้าเราไปกับคนที่ไม่ได้ชอบอะไรเหมือนๆ กับเรา ไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกับเรา หลังเดินทางกลับมามีโอกาสเลิกคบกันสูงมาก เหมือนไม่ใช่แนวเดียวกันก็เลยไปกันไม่ได้”

จากกระทู้รีวิว สู่การมีหนังสือเป็นของตัวเองเป็นเล่มแรก

“พอทำรีวิวในพันทิปได้สักพัก ก็ได้รับการติดต่อจากทางอมรินทร์ เขาอยากได้หนังสือรูปภาพของเรา กับเรื่องราวที่เราไปเที่ยวมารวมเป็นเล่ม ซึ่งโดยส่วนตัวเรารู้สึกไม่อยากเอาของเก่าที่เราเคยแชร์ให้ดูกันฟรีๆ ไปแล้วมารวมเล่มขาย ก็เลยคิดคอนเซปต์ขึ้นมาใหม่ หนังสือเล่มแรก เป็นเล่มที่ค่อนข้างจับฉ่าย คือเราเอารูปที่เที่ยวที่ผ่านมา 6-7ทริป และเป็นรูปที่ยังไม่เคยอวดที่ไหนมารวมเป็นเล่มประมาณ 50สถานที่ ที่เราชอบ กลายมาเป็นบทบาทใหม่จากนักร้องหันมาจับปากกา มาจับกล้อง ก็ได้รับความสนใจพอสมควร ตอนนั้นพิมพ์ไปทั้งหมด 3ครั้ง ก็ถือว่าได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น นำมาสู่ไอเดียเล่มต่อมา ซึ่งเวลาที่เรามีความตั้งใจจะทำผลงานออกมาสักชิ้น เราจะตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง อยากให้มันออกมาดีที่สุด ก็กลายมาเป็นโปรเจคทำหนังสือเที่ยวญี่ปุ่น 4ฤดู ซึ่งเราต้องไปเก็บให้ครบทุกฤดู ก็คือต้องใช้เวลาเก็บภาพทั้งหมดเป็นปี ระหว่างนั้นก็เลยมีหนังสือเล่มเล็กออกมาขัดตาทัพ หรือจะเรียกว่าออกมาแก้เขินก็ได้ครับ (หัวเราะ) เป็นภาพถ่ายของเราที่มีเรื่องราวของมันอยู่ในนั้น ประกอบด้วยแคปชั่นที่เราใช้ประกอบภาพ ระหว่างนั้นก็ทำเล่มใหญ่ไปพลางๆ ให้เสร็จทันทันงานกำหนด”

“และด้วยนิสัยของผมที่ไม่ชอบเอาของเก่ามาขายใหม่ จึงเป็นที่มาของไปญี่ปุ่น 15ทริป ใน 1ปี เพื่อเก็บภาพความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นให้ครบทั้ง 4ฤดู ไม่มีรูปเก่าเลย และอีกหนึ่งโจทย์ที่ค่อนข้างยากคือการหาสปอนเซอร์ที่เข้ากับสไตล์ของเรา คิดอยู่นานมากว่าจะขอแรงสนับสนุนจากใครดี จนกระทั่งได้มีโอกาสคุยกับทางโซนี่ ได้เล่าให้เขาฟังว่าเรามีไอเดียประมาณนี้ เขาก็สนใจให้การสนับสนุนมา เป็นสปอนเซอร์เพียงเจ้าเดียวของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยใช้ของโซนี่มาก่อนอยู่แล้ว ได้เขาเป็นสปอนเซอร์ในส่วนของอุปกรณ์ก็ถือว่าเข้ากับสไตล์ของเราเลย นอกเหนือจากนั้นเช่นค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร เรารับผิดชอบเองทั้งหมด ใช้เวลาทั้งหมดในการเก็บภาพนานกว่า 1ปี นับจริงๆ คือเกือบ 20ทริป จำได้ว่าส่งต้นฉบับไปเกือบ 90% แต่ยังขาดรูปที่จะมาเป็นปก คือเรามีคิดไว้ในใจแล้วล่ะว่าอยากได้ประมาณไหน ก็โทรไปบอกทางทีมว่าขอให้ทางโรงพิมพ์รอก่อน ขออีกทริปนึงนะ อยากได้รูปเพิ่มจากฮอกไกโดแล้วเดี๋ยวกลับมาจะส่งรูปและเขียนเพิ่มเติมให้สมบูรณ์จนออกมาเป็นเล่มนี้ครับ”

เที่ยวฤดูไหน เป็นสไตล์ของ “ศุภรุจ”

“ตัดฤดูร้อนออกเป็นฤดูแรกเลยครับ เพราะร้อนกว่าเมืองไทยอีก (หัวเราะ) ช่วงที่ไปเก็บภาพตอนฤดูร้อนต้องใช้กำลังภายในอย่างมาก เวลาขึ้นเขา เดินป่า แมลงเยอะมาก กัดทะลุกางเกงยีนส์เลยแหละ ส่วนช่วงซากุระก็สวยนะ แต่เราไม่ยังอินกับดอกไม้สักเท่าไหร่อาจจะด้วยความเป็นผู้ชาย ก็เลยจะสนุกกับฤดูใบไม้แดงกับฤดูหนาวมากกว่า ซึ่งสองฤดูนี้จะชอบคนละแบบ ฤดูหนาวจะเป็นความท้าทาย ไปสัมผัสกับความหนาวดูว่าเราจะทนได้มากแค่ไหน ส่วนฤดูใบไม้แดงเป็นช่วงที่รู้สึกชิลๆ มากกว่า เที่ยวเดินทางถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าให้เลือกขอเลือกฤดูใบไม้แดงก็แล้วกัน เพราะทุกช่วงที่เป็นใบไม้แดงจะต้องไปญี่ปุ่นทุกปี อย่างน้อย 2-3ทริปในช่วงนั้น และจุดที่ไปเที่ยวได้ซ้ำๆ ไม่มีเบื่อจะมี 2ที่ คือตรงภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งมีมุมให้ถ่ายรูปหลายมุมมาก แต่ละฤดูก็ได้ภาพไม่เหมือนกัน อีกที่หนึ่งที่ชอบไปคือฮอกไกโด เคยลองเช่ารถมาขับแล้วรู้สึกสบายใจ บรรยากาศดี แหม.. รู้สึกว่าชีวิตมันสดใส ชอบขับรถไปเรื่อยๆ ตามเมืองเล็กๆ ไม่วุ่นวาย ได้ความรู้สึกที่ดีไปอีกแบบ”

ความประทับใจที่ได้นอกเหนือจากความงดงามของธรรมชาติ

“ต้องยกให้เรื่องของความปลอดภัย และประสบการณ์ที่ได้จากผู้คนที่นั่นครับ ถามว่าประเทศอื่นๆ เขามีวิวสวยๆ เหมือนญี่ปุ่นไหม ก็มีแน่นอน ยุโรปก็สวย จีนก็สวย หรือใกล้ๆ อย่างเวียดนามก็มีทุ่งนาสวยๆ แต่จะมีสักกี่ที่ ที่เรารู้สึกปลอดภัย ทั้งในเรื่องของตัวเราเองและทรัพย์สิน บางประเทศในโซนอื่นก็อยากลองไปนะ แต่ได้ยินเพื่อนๆ สายถ่ายภาพเขาไปแล้วกลับมาเล่าให้ฟังว่าขากลับมาอุปกรณ์ไม่ครบบ้าง โดนล้วงกระเป๋าบ้าง ต้องสูญเสียกันไปเท่าไหร่ หรือบางที่ธรรมชาติสวยๆ บรรยากาศนอกเมืองดีมากเลย แต่การจราจรในเมืองไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย เราก็ไม่กล้าเอาชีวิตของเรา กับอุปกรณ์ของเราไปเสี่ยงตรงนั้น ในขณะที่ญี่ปุ่นเนี่ย ประทับใจที่สุด เคยไปทำงานแล้วทีมงานลืมอุปกรณ์ถ่ายภาพไว้ กว่าจะรู้ตัวก็เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ แล้วล่ะ กลับไปยังจุดที่ลืมก็สามารถติดต่อรับของคืนได้ ก็รู้สึกประทับใจกับเหตุการณ์นี้มากๆ ครับ”

ก้าวแรกของ “Outside The Room”

“ความจริงแล้วไอเดียแรกของเพจ Outside The Room นี้เราตั้งใจจะทำเป็นเพจกึ่งรายการ คืออยากทำรายการขึ้นมาใช้ชื่อนี้ แล้วทำเพจควบคู่กันไป มีการทำโลโก้ออกมาเรียบร้อยแล้ว ลองทำเป็นรายการออกมาได้ 2เทปแล้วล่ะ แต่สุดท้ายด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้เราตัดสินใจเปลี่ยนจากการทำเป็นรายการ มาเป็นเพจแชร์รูป และบอกเล่าเรื่องราว แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ช่วงไหนควรไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เป็นแนวที่เราถนัดแบบนี้ไปก่อน ด้วยคอนเซปต์ของเพจก็ตามชื่อเลยครับ คืออยากให้ทุกคนลองออกจากห้อง ออกมาดูโลกภายนอก เห็นอะไรที่มันแตกต่างออกไป อาจจะไม่ใช่การไปเที่ยวแบบไปช็อปปิ้ง หาของกินอร่อยๆ แต่เป็นการเที่ยวชมธรรมชาติ มาดูความงดงามในมุมที่น้อยคนจะได้มาสัมผัส มีบางจุดที่เราต้องเช่ารถขับเข้าป่า ขึ้นภูเขา เพื่อได้มุมที่สวยๆ แต่ปีนี้คอนเทนต์จะยังมีไม่มาก แต่ก็มีไอเดียเพิ่มเติมแล้วว่าอยากจะต่อยอดทำอะไรเพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่ไอเดียอยู่ รอช่วงเวลาที่เหมาะสมคงจะได้เห็นก้าวต่อๆ ไปของ Outside The Room กันครับ”

เอกลักษณ์ของ Outside The Room

“จะเป็นการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างฟรีสไตล์และเป็นตัวของเราเองมากที่สุด ไม่ใช่ว่าเราไม่ง้อสปอนเซอร์นะ แต่อยากได้คอนเซปต์ที่น่าสนใจ หรือมีสไตล์ที่คล้ายๆ กับความเป็นเรา อย่างเราชอบความท้าทาย ชอบไปสำรวจในมุมที่ยังไม่มีใครเห็น ไปปีนเขา หรือไปยังจุดชมวิวที่หายากก็ได้ เหมือนมันกลายเป็นคาแรคเตอร์ของเราและเพจเราไปด้วย เคยมีสปอนเซอร์เจ้าหนึ่งติดต่อเราให้ไปทำท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์เรื่อง Your Name อันนี้เราก็รับ แต่ถ้าเป็นการทำคอนเทนต์ท่องเที่ยวแนวกิน เที่ยว ช็อป เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่สไตล์ของเรา”

คำแนะนำสำหรับนักเดินทางมือใหม่

“การไปเที่ยวญี่ปุ่นสมัยนี้ไม่ยากแล้วครับ เมื่อก่อนจะต้องทำเรื่องขอวีซ่า สายการบินก็ราคาไม่ใช่ถูกๆ แต่มาปัจจุบันนี้มีสายการบินแบบประหยัด อยากไปเที่ยวที่ไหนก็เปิดรีวิวศึกษาข้อมูลได้ ดังนั้นถ้าสำหรับนักเดินทางมือใหม่ อยากให้เริ่มต้นจากการถามตัวเองก่อนว่า เป้าหมายของการออกเดินทางคืออะไร อยากไปกิน ช็อปปิ้ง หรือไปเที่ยวชมธรรมชาติ ซึ่งถ้าเป็นอย่างแรกคงต้องข้ามผมไปได้เลยเพราะผมก็ไม่ถนัด เวลาไปญี่ปุ่นจะเน้นเที่ยวแบบลุยดูธรรมชาติ ขึ้นภูเขา ซื้ออาหารจากมินิมาร์ท พกขึ้นไปเผื่อหิวระหว่างทาง แต่ถ้าอยากเที่ยวชมธรรมชาติก็ต้องรู้ลิมิตของตัวเองว่าลุยได้มากขนาดไหน ทำการบ้านก่อนไปให้ดีๆ หากต้องการข้อมูลสายลุยก็สามารถถามผมได้ครับ"(ยิ้มอย่างอบอุ่น)

ฝากผลงาน

"ตอนนี้มีซิงเกิลใหม่ซึ่งน่าจะปล่อยออกมาช่วงปลายปีนี้ กับหนังสือ JAPAN BEST OF SEASONS ที่สามารถหาซื้อได้ที่นายอินทร์นะครับ อาจจะหายากหน่อยเพราะใกล้หมดแล้ว และขอฝาก Outside The Room เพจสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นก็สามารถกดติดตามกันได้ อาจจะอัพไม่ค่อยบ่อย แต่ทุกภาพทุกเรื่องราวเราตั้งใจนำเสนอจริงๆ ครับ"

เพราะทุกๆ ก้าวล้วนมีคุณค่า หากไม่เริ่มต้นคงไม่พบจุดหมายที่สวยงาม ลองเริ่มก้าว Outside The Room ออกจากที่เดิมๆ เพื่อพบกับประสบการณ์ใหม่ คุณอาจเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้พบกับเรื่องราวดีๆ ที่น่าประทับใจ เพียงแค่ออกเดินทางดูสักครั้ง…

ความเห็น 18
  • Paintty Sean ⭐️🎁
    ชอบคุณรุจเปนตัวของตัวเองดี
    22 พ.ย. 2561 เวลา 13.43 น.
  • Suri👆☀
    น้องเป็นคนน่ารักมากเจอตัวจริงแล้ว
    22 พ.ย. 2561 เวลา 16.23 น.
  • ⚜️TS.ガンダンム789⚜️
    หล่อด้วยเก่งดัวย ....
    22 พ.ย. 2561 เวลา 23.55 น.
  • แอ๊บเปิ้ลจุ๊บ
    ค่ะดูแล้ว..สุดคำบรรยายค่ะ...สวยงามากๆค่ะ..ทุกๆสถานที่ฯที่คุณไปลว้นแด่มีคุณค่ายี่งค่ะ...คลาสิคเพอร์เฟ็กช์สุดค่ะ....เห็นแล้วภาพต่างมีความหมายและคุณภาพคุณค่า..ยอดเยี่ยมจริงค่ะ....ค่ะขอบพระคุณนะคะ..ในความมุ่งมั่นของคุณค่ะ......ขอชื่นชมฯคุณค่ะ....
    22 พ.ย. 2561 เวลา 14.45 น.
  • Thong
    ยินดีด้วยครับ เจอในสิ่งที่รัก และอยากทำมัน
    22 พ.ย. 2561 เวลา 23.34 น.
ดูทั้งหมด