กีฬา

วาเลนไทน์สายกระหน่ำ : ชูการ์ เรย์ โรบินสัน vs เจค ลาม็อตต้า ไฟต์เดือดเลือดท่วมเวที

Main Stand
อัพเดต 06 เม.ย. 2563 เวลา 05.03 น. • เผยแพร่ 02 เม.ย. 2563 เวลา 17.00 น. • ชยันธร ใจมูล

"SUPER วาเลนไทน์! SUPER วาเลนไทน์!" …ไหนๆ ก็สลัดประโยคจากเพลงฮิตติดลมบนตอนนี้ไม่หลุด Main Stand จึงอยากให้คุณได้ลองลิ้มชิมรส วาเลนไทน์ ในแบบของนักมวยระดับโลกกันบ้าง

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นี่คือไฟต์ที่แบ่งวงการมวยเป็นสองข้าง แบ่งเสียงเป็นสองฝั่ง และจบลงด้วยเลือดกระจาย ก่อนเสียงระฆังยกสุดท้ายจะดังขึ้น 

ติดตามไฟต์ที่ถูกเรียกว่า "การสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์" ระหว่าง ชูการ์ เรย์ โรบินสัน นักชกที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ กับ เจค ลาม็อตต้า นักเลงใหญ่ใจนักมวยเจ้าของฉายา "กระทิงแห่งบรองซ์" ได้ที่นี่ 

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ความดิบของมวยยุคเก่า 

ย้อนกลับไปเกือบ 70 ปีก่อน มวยถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุผลน่ะเหรอ? เพราะว่ามันคือกีฬาที่ใช้อุปกรณ์น้อยที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย มีเพียงคนสองคนขึ้นมาบนเวทีและชกกันกว่าจะมีใครลงไปกองกับพื้น เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

Photo : worldsportnews.org

สมัยนั้นมีคำกล่าวว่า "มวยคือกีฬาที่โดดเดี่ยวที่สุด" เพราะเมื่อขึ้นเวทีแล้วมันคือการดวลกันแบบ 1-1 เอาชนะกันด้วยทักษะ, ความอึด, ความหนักหน่วง … ไม่มีพื้นที่ให้คุณได้หลบซ่อน ถ้าคุณกลัว ถ้าคุณไม่ไหว มันก็จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ เพราะไม่มีใครอีกแล้วที่จะช่วยคุณได้ ทั้งหมดนี้คือรูปแบบความมันของมวยยุคเก่า

หากมองเข้าไปในรายละเอียด คุณจะพบว่ายุค 50's ถือเป็นยุคที่เทคโลยีต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มตั้งไข่ ไม่ใช่ทุกที่จะเข้าถึงมันได้ ดังนั้นความบันเทิงที่ดีที่สุดก็คือกีฬา และด้วยความที่อุปกรณ์, กฎเกณฑ์ และการตลาดต่างๆ ในการชกมวยยังไม่มีการนำมาปรับใช้ มันจึงเป็นเรื่องยากมากในยุคสมัยนั้นที่จะหานักมวยที่มีทักษะดีๆ อ่านเกมเก่งๆ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเพลี่ยงพล้ำ และใช้วินาทีที่คู่ต่อสู้พลาดจัดการปล่อยท่าไม้ตาย … มวยสมัยนั้นจึงมีแต่พวกนักสู้สายเดินเข้าแลก ชกกันจนกว่าจะร่วงมากกว่าที่จะเน้นต่อยเข้าเป้าและเก็บคะแนนเพื่อเอาชนะหลังต่อยครบยก 

และสิ่งที่ตามมาจากการเปิดหน้าแลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ "เลือด" … และเหตุผลที่ทำให้เลือดกระจายในแต่ละไฟต์ได้ก็คือนวมนั่นเอง มีการบันทึกว่านวมในยุค 50's นั้น แทบไม่ได้ลดแรงกระแทกจากหมัดเปล่ามากนักเพราะมีความบางมาก อีกทั้งยังผลิตมาจากหนังฟอกสีน้ำตาลเข้ม มีเนื้อของนวมที่แน่นและแข็งมาก ที่สำคัญคือนวมแต่ละข้างจะมีน้ำหนักแค่ 2 ออนซ์เท่านั้น … ส่วนมวยในยุคปัจจุบันนั้นใช้นวมที่มีน้ำหนักราวๆ 8-12 ปอนด์

ทุกอย่างพร้อมให้เกิดการน็อคเอาต์และละเลงเลือดกันขนาดนี้ นั่นจึงไม่แปลกที่ทำไมแต่ละไฟต์จึงโหดเลือดสาด แตกก็เย็บแล้วก็ชกต่อในหลายต่อหลายคู่ บางครั้งโชคร้ายนักได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิตเลยก็มี

ทว่ามีมวย 1 คู่ที่ถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์ด้านการหลั่งเลือด มันคือศึกในปี 1951 และจัดขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พอดิบพอดี … การชกระหว่าง ชูการ์ เรย์ โรบินสัน และ เจค ลาม็อตต้า 2 นักชกที่ทำให้เลือดสาดไปทั่วสนาม และศึกดังกล่าวถูกเรียกว่า"ศึกวันสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์"  

 

จุดเริ่มต้นของศึกสังหารหมู่

ชูการ์ เรย์ โรบินสัน และ เจค ลาม็อตต้า คือ 2 นักชกที่ชิงความเป็นหนึ่งในรุ่นมิดเดิลเวตในเวลานั้น เหตุผลที่พวกเขาชิงความเป็น 1 กันไม่ใช่แค่เพื่อเข็มขัดแชมป์ แต่มันคือศักดิ์ศรีที่แต่ละคนแบกไว้ …

Photo : www.worthpoint.com

กลุ่มผู้มีอิทธิพล (โปรโมเตอร์) ในวงการ หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า "มาเฟียมวย" ในยุคนั้นไม่ชอบที่จะเห็นคนผิวดำขึ้นมาเป็นแชมป์มวยโลกในทุกๆ รุ่น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ตัวแทนของนักมวยผิวดำที่เดิมทีต่อยในรุ่นเล็กจนไม่มีใครสู้ได้ แต่ก็ไม่เคยถูกจัดให้ได้ขึ้นชิงแชมป์โลกเสียทีด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น 

ชูการ์ เรย์ จึงต้องขยับขึ้นมาเล่นรุ่น มิดเดิลเวต ที่มีนักมวยผิวขาวฝีมือดีคอยคานอำนาจ นำโดย เจค ลาม็อตต้า ผู้มีศักดิ์เป็นนักเลงตัวพ่อแห่งย่านบรองซ์ ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันนั่นเอง 

"คนที่ควบคุมวงการมวย พวกนักเลงในวงการตอนนั้น ไม่อยากจะให้เขาขึ้นชิงแชมป์โลกในปี 1940 เนื่องจากพวกเขาคิดว่ามีคนผิวดำมากเกินไปในตำแหน่งนักชกแถวหน้าของโลก" วิล เฮย์กู้ด ผู้เขียนหนังสือ Sweet Thunder: Life and Times of Sugar Ray Robinson" กล่าว

ณ เวลานั้น ชูการ์ เรย์ ถูกเรียกว่า นักชกที่ดีที่สุดหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ขณะที่ ลาม็อตต้า คือกระทิงแห่งบรองซ์ … ย่านที่สร้างนักมวยขึ้นมามากมายและเขาคือเบอร์ 1 เรียกได้ว่าจัดจ้านในย่านนี้ที่สุดนั่นเอง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้ชกกัน เพราะครั้งแรกต้องย้อนกลับไปในปี 1942 ซึ่ง ชูการ์ เรย์ เป็นฝ่ายชนะ ก่อนที่ฝั่งโปรโมเตอร์จะรีบจัดไฟต์ล้างตาให้ในอีก 4 เดือนต่อมา และในวันนั้น เจค ลาม็อตต้า เป็นฝ่ายชนะ … ในทางกลับกันนั่นคือไฟต์แรกที่สอนให้ ชูการ์ เรย์ รู้จักความพ่ายแพ้ด้วย 

ในช่วงยุค 40's ทั้งคู่เดินขึ้นสังเวียนประจันหน้ากันถึง 5 ครั้ง แต่มันก็ไม่มีมีอะไรเป็นเดิมพัน ไม่เท่ากับครั้งนี้ในปี 1951 ศึกครั้งที่ 6 ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงที่ทั้งคู่เข้าสู่วัย 28 ปี … พีกที่สุดเท่าที่จะพีกได้สำหรับนักมวยคนหนึ่ง  

ความเก่งกาจที่สูสีกัน รวมถึงเรื่องนอกสนาม ทำให้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เจค ลาม็อตต้า ที่เป็นแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวต ณ เวลานั้น ได้โอกาสที่จะดับซ่า ชูการ์ เรย์ ที่ทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เขาต้องการแม้จะถูกกีดกันแค่ไหน … นั่นก็คือเข็มขัดแชมป์โลกนั่นเอง 

Photo : www.theguardian.com

ความมันเริ่มบังเกิดตั้งแต่การเซ็นสัญญาก่อนขึ้นชก ชูการ์ เรย์ เปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนและ ลาม็อตต้า ด้วยการดื่มเลือดวัวสดๆ จากแก้ว … มันคือสัญลักษณ์ว่า เขาจะจัดการกระทิงแห่งบรองซ์เสียให้สิ้นซาก และจะกลายเป็นแชมป์โลกสมัยแรก ต่อให้มีคนไม่อยากเห็นภาพเขาชูเข็มขัดแชมป์ก็ตาม 

ชูการ์ เรย์ ยกแก้วให้ ลาม็อตต้า ลองดื่ม แต่แชมเปี้ยนตอบกลับอย่างสงบและเยือกเย็นว่า "แกไม่รู้ตัวว่าแกทำอะไรอยู่ เก็บไว้กินเองเถอะ" 

เขาไม่ได้ตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เขาต้องโฟกัสยิ่งกว่า คือการพยายามลดน้ำหนักลงมาให้ได้อีก 6 ปอนด์ เพื่อผ่านตาชั่ง 160 ปอนด์ และต้องการจะชนะให้ได้โดยไม่ต้องเล่นสงครามจิตวิทยา … และวันนั้นก็มาถึง

การชกระหว่าง ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ผู้แทบจะไม่เคยแพ้ใครและไล่น็อคคู่ชกจนร่วงเป็นใบไม้ กับ เจค ลาม็อตต้า อัจฉริยะนักชกที่เคยโดนน็อคก่อนหน้านั้นเพียงครั้งเดียว กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว 

 

รัวไม่หยุดตั้งแต่วินาทีแรก

ชูการ์ เรย์ โรบินสัน นอกจากจะหมัดหนักแล้วหมอนี่ยังเปี่ยมกลยุทธ์ เมื่อกรรมการลั่นระฆังยกแรก เขารู้ทันทีว่าการลดน้ำหนัก 6 ปอนด์ในไม่กี่วันของ ลาม็อตต้า จะส่งผลให้แชมเปี้ยนคนนี้ปรับจังหวะตัวเองไม่ได้ เขาจึงเริ่มไล่ซัดตั้งแต่ยกแรก คนดูในวันนั้นต่างแปลกใจที่ผู้ท้าชิงเดินเกมแบบไม่มีพิธีรีตองใดๆ ทั้งสิ้น หมัดของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ที่เป็นต่อเรื่องช่วงชก (โรบินสัน สูง 180 เซนติเมตร ช่วงชก 184 เซนติเมตร / ลาม็อตต้า สูง 173 เซนติเมตร ช่วงชก 170 เซนติเมตร) เข้าที่หน้าและลำตัวของ ลาม็อตต้า อย่างไม่หยุดหย่อน

Photo : boxing.media

แฟนๆ ฝั่ง ชูการ์ เรย์ เริ่มส่งเสียงดังขึ้นราวกับจุดจบของไฟต์นี้ … แต่กระทิงแห่งบรองซ์ที่กินหมัดช่วงออกสตาร์ท กลับเหมือนเด็กน้อยที่ได้กินซีเรียลในมื้อเช้า หมัดของ ชูการ์ เรย์ ที่ว่าหนัก ทำให้เขาตื่นตัวขึ้น และกลับสู่ฟอร์มของนักชกแชมป์โลกได้อีกครั้งในช่วงยกที่ 3 

อย่างไรก็ตามความจริงก็คือความจริง นักชกที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ชูการ์ เรย์ แสดงให้เห็นการชกมวยที่แท้จริงออกมา เขารวดเร็ว, หนักหน่วง และมีฟุตเวิร์กที่ไวจน ลาม็อตต้า ตามไม่ทัน … แม้จะพยายามเท่าไหร่ แต่ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน คือคู่ต่อสู้ที่เก่งเกินกว่าจะต่อกรไปเสียแล้ว

ในช่วงยกที่ 10 ถึงยกที่ 13 ว่ากันว่าเป็นซีรี่ส์การปล่อยหมัดชุดที่ต่อเนื่องที่สุดเท่าที่ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ทำมาตลอดชีวิต หมัดตรง หมัดฮุก จ้วงซ้าย จ้วงขวา ทุกอย่างเท่าที่เขาจะมีแรงปล่อย ชูการ์ เรย์ ใส่สุดตัว หมายเอา เจค ลาม็อตต้า ให้ร่วงและจบเรื่องทุกอย่างให้ขาวสะอาดที่สุด เพราะถ้าหากปล่อยให้ยืนกันจนครบยก ใครจะรู้ว่าผลการตัดสินหายจะพลิกล็อกจนทำให้เขาช็อคก็เป็นได้

สภาพของ ลาม็อตต้า ในวันนั้นหมดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาคือแชมป์ และ ชูการ์ เรย์ เป็นผู้ท้าชิง ตาสองข้างของเขาบวมจนปิดแทบสนิท จมูกแตกจนเลือดไหล และปากก็ฉีกจนได้เลือดไม่ต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในไฟต์นี้พอจะบอกได้ว่าหาก ชูการ์ เรย์ ได้ขึ้นชิงแชมป์โลกตามความสามารถ เขาคงกลายเป็นแชมป์โลกตั้งแต่อายุ 18 ปี หรือเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว  

Photo : www.theguardian.com

อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะเห็นถึงความเก่งกาจระดับเทพของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน และชื่นชมการชกของเขาจนลืมไปว่า แท้จริงแล้ว เจค ลาม็อตต้า เองก็สมควรเป็นคนที่ได้รับความชื่นชมไม่แพ้กัน … ชูการ์ เรย์ น็อคคู่ชกของขาไปทั้งหมด 108 คนตลอดการเป็นนักชกอาชีพ และคู่ชกส่วนใหญ่ที่โดนน็อค ยืนได้ไม่เกิน 6 ยกก็สุดจะต้านทานแล้ว ทว่า ลาม็อตต้า คนนี้แบกศักดิ์ศรีแชมป์โลกจนวินาทีสุดท้าย เขาไม่ยอมร่วงสักที แม้ว่าจะโดนแล้วโดนอีกจนถึงขั้นฝั่งพี่เลี้ยงของ ชูการ์ เรย์ ตะโกนบอกกรรมการให้ยุติการชกได้แล้ว 

"มึงทำไม่ได้หรอกไอ้มืดสันขวาน มึงเอากูลงไม่ได้หรอกโว้ย" ลาม็อตต้า บอกถึงสิ่งที่เขาตะโกนใส่ ชูการ์ เรย์ ในวันนั้น เรียกได้ว่าแม้ร่างกาย ณ เวลานั้นจะไม่ใช่ แต่ฝีปากเขาล่ะแชมป์โลกแน่นอน

โชคร้ายตรงที่ถ้าเป็นนักชกคนอื่นๆ ลาม็อตต้า คงเก่งได้จนระฆังหมดยก 13 ดัง … ทว่าไม่ใช่กับ ชูการ์ เรย์ นักชกที่ไม่เคยหยุดปล่อยหมัดจนกว่าจะน็อคคนที่อยู่ข้างหน้าได้ อีกไม่กี่อึดใจก่อนจะครบยก ชูการ์ เรย์ อัดเปรี้ยงตรงเข้าหน้าทั้งหมดตามที่นับได้คือ "10 ครั้ง" อย่าลืมว่านี่คือยกที่ 13 แล้ว การทนหมัดของชูการ์ เรย์ ที่เข้าหน้าเต็มๆ ได้ 10 หมัด คือเรื่องเหลือเชื่อเท่าที่ ลาม็อตต้า จะทำได้แล้ว

ลาม็อตต้า แค่เกือบหงาย และเหลือเชื่อที่สายตาของเขายังแสดงว่า"มีอีกก็เอามาอีกสิวะ" แต่น่าเสียดายที่กรรมการในวันนั้น เห็นสภาพของเขาแย่เกินกว่าจะไปต่อจึงตัดสินใจยุติการชก ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 นาทีก็จะครบยก และให้ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน เป็นฝ่ายชนะน็อคไปในท้ายที่สุด 

Photo : www.theguardian.com

ลาม็อตต้า เสียแชมป์ … ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าเข็มขัด แต่มันคือชัยชนะเหนือการถูกกดขี่ของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ทำให้ทีมงานของเขาฉลองกันสุดเหวี่ยงบนเวที

ลาม็อตต้า ที่ยังไม่ยอมร่วงกับพื้นมองเห็นภาพการฉลองของอริของเขาพร้อมเข็มขัดแชมป์โลกที่เคยเป็นของตัวเอง … เขาทนไม่ไหว คนใจนักเลงอย่าง ลาม็อตต้า จึงเดินกลับมาบนเวทีอีกครั้งและตะโกนว่า

"ไอ้เรย์โว้ย …" เขาตะโกน 

ทุกคนหันหลังกลับมาดูว่า ลาม็อตต้า ที่เป็นนักเลงโดยสันดานจะทำอะไรต่อไป … แต่ยังไม่ทันจะคิดคำตอบ ลาม็อตต้า ก็เฉลย เขาเดินผ่ากลางวงและจับมือซ้ายของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ชูขึ้นฟ้า เพื่อยอมรับกับความพ่ายแพ้ทุกประตูครั้งนี้ 

"ให้ตายเถอะว่ะ เรย์ มึงนี่มันไม่เคยทำให้กูผิดหวังเลยจริงๆ" ลาม็อตต้า ว่าไว้เช่นนี้ในฉากสุดท้าย ก่อนเขาจะขอตัวลงจากเวทีแบบผู้แพ้ที่ได้ใจคนดู … 

นักข่าวที่ได้สัมภาษณ์ เจค ลาม็อตต้า ในภายหลัง ถามเขาถึงไฟต์ดังกล่าวว่า ทำไมถึงแพ้เละหมดรูปขนาดนั้น ลาม็อตต้า ยังคงรักษาสไตล์ฝีปากแชมป์โลกเหมือนเคย เขาตอบกลับแบบทันควันว่า

"ถ้ากรรมการมีเวลาให้ผมอีก 30 วิ ชูการ์ เรย์ ร่วงก่อนแน่นอน" ลาม็อตต้า กล่าวให้ทุกคนอึ้งที่คำพูดของเขาสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น

Photo : boxrec.com

แต่ก่อนที่คนจะงงไปกว่านี้ ลาม็อตต้า ไม่ลืมที่จะตบมุกปิดท้าย … "ถ้ากรรมการมีเวลาให้อีก 30 วิล่ะก็ ชูการ์ เรย์ จะต่อยผมจนเขาทนเหนื่อยไม่ไหว และยอมแพ้ไปเองแน่นอน" 

"ให้ตายสิ ชีวิตนี้ผมสู้กับ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน มาเยอะมาก … เยอะจนผมกลัวจะเป็นโรคเบาหวานเพราะกินน้ำตาล (Sugar) แล้วเนี่ย"

เจ้าของฝีปากดีกรีหนึ่งในยอดแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวตตลอดกาลกล่าวปิดท้าย 

 

แหล่งอ้างอิง

https://en.wikipedia.org/wiki/Sugar_Ray_Robinson
https://www.espn.com/boxing/story/_/id/14775912/st-valentine-day-massacre-jake-lamotta-vs-sugar-ray-robinson-rewind-1951
https://www.theguardian.com/sport/the-balls-of-wrath/2016/feb/08/boxing-sugar-ray-robinson-jake-la-motta-valentine-1951
https://www.thefightcity.com/february-14-1951-robinson-vs-lamotta-vi-sugar-ray-robinson-jake-lamotta/

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 2
  • JensonBright
    อ่านสนุกมาก
    04 เม.ย. 2563 เวลา 03.08 น.
  • ผมว่าเลียวนาร์ดVSเฮิร์นมันส์กว่าคู่นี้นะ
    04 เม.ย. 2563 เวลา 02.59 น.
ดูทั้งหมด