สถานีรถไฟยังคงคึกคัก ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัดทุกโบกี้ เป้าหมายของพวกเขาคือที่ทำงาน นี่เป็นภาพของมหานครโตเกียวยามเช้าที่พบเห็นได้ปกติ แม้ในวันที่ไวรัสระบาด จนทำให้ญี่ปุ่นต้องประกาศเลื่อนจัดกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32
แม้จะเป็นประเทศแรกๆ ที่เผชิญกับไวรัส COVID-19 แต่นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะเพิ่งประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ประชาชนชาวญี่ปุ่นยังคงเดินทางไปทำงานกันอย่างปกติเหมือนอย่างทุกวัน ไม่ใช่ว่าพวกเกรงกลัวการระบาดของไวรัส แต่ทว่า ‘งาน’ นั้นสำคัญกว่า
Social Distancing หรือเว้นระยะห่างทางสังคม เอื้อให้พนักงานทั่วโลกสามารถ ‘ทำงานที่บ้าน’ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส
แต่นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชาวญี่ปุ่น
เพราะไม่มีอะไรที่สามารถเปลี่ยนวิถีการทำงานที่มั่นคงฉบับญี่ปุ่นได้เลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขายังคงตื่นเช้าไปทำงาน แม้ว่าไวรัสยังคงระบาดอย่างหนักก็ตาม
วิถีอะนาล็อก
บริษัททั่วโลกต่างอนุญาตให้พนักงานกลับไปทำงานที่บ้าน และเลือกที่จะติดต่อสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับญี่ปุ่น
เพราะแม้จะเป็นประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์อันทันสมัย แต่หลายบริษัทยังคงทำงานแบบอะนาล็อก
โรเชลล์ ค็อปป์ที่ปรึกษาบริษัท Japan Intercultural Consulting ผู้ต้องเดินทางไปกลับระหว่างญี่ปุ่น-อเมริกาเป็นประจำ เผยว่าบริษัทในญี่ปุ่นไม่ได้ลงทุนด้านอุปกรณ์ไอทีเท่าที่ควร เธอสังเกตเห็นได้จากพนักงานหลายคนในบริษัทที่ไม่มีแม้แต่แล็ปท็อปส่วนตัวไว้ใช้ทำงาน และไม่มีระบบที่จะเอื้อให้พนักงานทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวกสบาย
ไม่ได้มีแค่โรเชลล์ พนักงานคนอื่นๆ เองต่างก็รู้ดีว่าความพร้อมสำหรับทำงานทางไกลนั้นยังไม่เพียงพอ เพียงแต่ยังไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข จนกระทั่งไวรัสระบาด จึงทำให้เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อแรกๆ ที่ต้องเร่งมือเข้าช่วยเหลือ
หลังจากเกิดวิกฤติ COVID-19กระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 77,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณสองล้านห้าแสนบาท สำหรับบริษัทขนาดเล็กและกลาง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานที่บ้าน
ความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยี
แม้อุปกรณ์ทั้งหลายแหล่จะเพรียบพร้อม แต่กำแพงด้านอายุก็ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การทำงานที่บ้านในญี่ปุ่นเป็นไปได้ยาก
ปี 2018 รัฐมนตรีประจำกระทรวงความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) ของญี่ปุ่น วัย 68 ปียอมรับว่าเขาไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์เลยสักครั้งตลอดชีวิตการทำงาน
1 ใน 4 ของประชากรญี่ปุ่นคือ ‘ผู้สูงอายุ’ หลายคนยังคงทำงาน บ้างยังดำรงตำแหน่งสูงอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ และแน่นอนว่าพวกเขาเติบโตในโลกอะนาล็อกและคุ้นเคยกับการทำงานแบบออฟไลน์ นี่เป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้าน ‘เทคโนโลยี’ ระหว่างคนหนุ่มกับคนแก่
คนรุ่นใหม่อาจไม่เคยคิดมาก่อนว่าการทำงานที่บ้านจะเป็นปัญหา เพราะพวกเขาใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่สำหรับผู้สูงอายุนั้นอาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังไม่พร้อมสำหรับวิถีการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
เพราะทำงานที่บ้านไม่ได้
สำหรับบางคน เพียงมีแล็ปท็อปคู่ใจอยู่กับตัวก็สามารถเนรมิตรงานออกมาได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำเช่นนั้นได้
เรากำลังพูดถึง ‘งานบริการ’ ซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยสถานที่ เวลา และผู้คน
70% ของแรงงานในประเทศญี่ปุ่น ทำงานด้านการบริการ ทำให้การทำงานที่บ้านเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับพวกเขา
ฮารุพนักงานในร้านนวดกลางกรุงโตเกียว ยังคงโดยสารรถประจำทางไปทำงานเป็นปกติ แม้ว่าลูกค้าจะยกเลิกจองคิวนวดไปเยอะมาก เธอเผยว่าค่อนข้างเป็นกังวลกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอรู้สึกสับสนระหว่างการออกมาทำงาน กับอยู่บ้านเพื่อเก็บตัว
เช่นเดียวกับ เบเบ้ อิชิคาวาเจ้าของธุรกิจผลไม้สดที่ส่งตรงให้โรงแรมและงานเลี้ยง เธอยังคงทำงานท่ามกลางวิกฤติโรคระบาด โดยพยายามปรับให้พนักงานในบริษัทสลับกันมาทำงาน และเปลี่ยนเวลาเข้างานเพื่อให้พวกเขาไม่ต้องเจอความแออัดบนรถไฟฟ้า
เธอเล่าว่า งานที่ทำอยู่นั้นไม่สามารถหยุดได้ เพราะหากเลิกส่งวัตถุดิบก็จะทำให้ธุรกิจอื่นๆ พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย และนั่นจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ตามมา
ชมรมคนรักงาน
นอกจากกำแพงแห่งช่วงวัยที่กั้นผู้สูงอายุออกจากเทคโนโลยี และประเภทงานไม่เอื้อให้ทำที่บ้านแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลคือ ‘วิถีการทำงานฉบับญี่ปุ่น’ คลื่นใต้น้ำอานุภาพมหาศาลที่ชาวออฟฟิศกำลังเผชิญ
ความจงรักภักดีต่อบริษัทที่ทำให้คนทุ่มเททำงาน เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นมานับตั้งแต่ปี 1970 การทำงานหนักของพนักงานทำให้ญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกได้อย่างรวดเร็ว
เบื้องหลังของความเจริญรุ่งเรืองนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เพราะงานกำลังทำร้ายผู้คนอย่างไม่ทันได้รู้ตัว บางคนเริ่มล้มป่วยจากการทำงานหนัก มีโรคแทรกซ้อนเพราะอดนอน และถึงขั้นเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน นั่นทำให้เกิดคำว่า ‘Karoshi’ซึ่งหมายถึงการทำงานหนักเกินควรของชาวญี่ปุ่น
แม้จะมีการปฏิรูปเรื่องชั่วโมงการทำงานไปเมื่อปี 2019 อย่างไรก็ตามวิถีนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมญี่ปุ่นอย่างยากจะถอดถอนให้หมดไป
เจสเปอร์ โคลล์นักเศรษฐศาสตร์และนักวางแผนการเงินในญี่ปุ่น เล่าว่า “แม้จะเลิกงานแล้ว แต่ผู้คนยังไม่กล้ากลับบ้าน เพราะเกรงว่าเจ้านายอาจกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากที่ทานมื้อเย็นอิ่มแล้ว นั่นเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เกิดขึ้นจริงในญี่ปุ่น”
นอกจากนี้สไตล์การทำงานที่มีความเกรงใจเป็นที่ตั้ง และให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้ามาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งยังต้องตัดสินใจร่วมกันเป็นทีม การทำงานที่บ้านของชาวญี่ปุ่นจึงเป็นไปได้ยากยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้
“ฉันมักกังวลเสมอว่า เราจะไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนๆ และทำงานได้อย่างถูกต้องได้ ถ้าทำงานจากที่บ้าน” นากาเนะ ซึโยชิเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขเล่าถึงอุปสรรคในการทำงานที่บ้านของเธอ
ความหวังหลังประกาศภาวะฉุกเฉิน
ตั้งแต่ที่เริ่มมีการระบาดในญี่ปุ่น ก็มีผู้เสียชีวิตและติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ 7 เมษายน วันเดียวกับที่นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตเมืองใหญ่ ซึ่งมีผู้อาศัยอยู่ราว 14 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อแล้ว 1,116 ราย ยอดรวมทั่วประเทศญี่ปุ่น 3,906 ราย รวมถึงคนบนเรือสำราญโยโกฮาม่าอีก 712 ราย
ในบรรดาผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นวัยหนุ่มสาวมากเป็นพิเศษ นี่คงถึงคราวที่เหล่าพนักงานต้องกลับมาให้ความสำคัญกับการ ‘ทำงานที่บ้าน’ เพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างจริงจังอีกครั้ง
แม้ภาวะฉุกเฉินจะไม่ใช่กฎหมาย และเป็นเพียงการขอความร่วมมือ แต่การประกาศของรัฐบาลญี่ปุ่นในครั้งนี้ อาจช่วยคลายความสับสนให้กับพนักงานที่ยังออกไปทำงานในทุกๆ เช้าได้ไม่น้อย
รวมถึงยังช่วยให้บริษัทหลายแห่งในญี่ปุ่น ตระหนักถึงความรุนแรงของ COVID-19 มากขึ้น
อ้างอิง
- Emiko Jozuka.Even in the coronavirus pandemic, the Japanese won’t work from home until Shinzo Abe makes them.https://edition.cnn.com/2020/04/02/business/japan-coronavirus-work-lockdown-guilt-hnk-intl/index.html
- Justin McCurry.Japan declares state of emergency over coronavirus.https://www.theguardian.com/world/2020/apr/07/japan-shinzo-abe-declares-state-of-emergency-over-coronavirus
- Chris Weller.Japan is facing a ‘death by overwork’ problem — here’s what it’s all about.https://www.businessinsider.com/what-is-karoshi-japanese-word-for-death-by-overwork-2017-10
kim 私の名前はキムです。🎎🎌🌻 ป้องกันไวรัสโควิดไว้ก่อนดีที่สุด
ถ้าไม่ป้องกัน ปล่อยจนติดเชื้อกันระนาวจนเอาไม่อยู่แบบ อิตาลี สเปน อเมริกา. รัฐบาลก็ต้องปล่อยให้ตายตามโชคชะตากำหนด.
11 เม.ย. 2563 เวลา 03.39 น.
ลองระบาดแบบอิตาลี ตายสักหมื่นกว่าสิ ยังไงก็ต้องปิด อย่าเพิ่งคิดว่าญี่ปุ่นจะรอด ตอนนี้ยังติดแค่หลักพัน ตายหลักร้อย ตอนนี้ที่เห็นคือไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา บบเดียวกับเมกาก่อนหน้าแหละ พอเจอของจริง พังๆๆๆๆ
11 เม.ย. 2563 เวลา 00.44 น.
คนเกาหลี สิงคโปร์ เอเชียเราเป็นแบบนี้ ยกเว้นไทย แต่งหน้ารอตอกบัตรตั้งแต่ 4 โมงเย็น
คนทางยุโรป อเมริกา เขาจะไม่มานั่งเฝ้าลูกน้อง ไม่ต้องตอกบัตรด้วย เขา kpi กันปลายเดือน
10 เม.ย. 2563 เวลา 06.34 น.
Hice ปัญหามี ก็แก้กันไปครับ ไทยแลนด์ก็มีปัญหา ก็ต้องแก้กันไปครับ
10 เม.ย. 2563 เวลา 06.10 น.
EARTH จริงครับ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ขยันในการทำงานมากจนลืมเรื่องสุขภาพตัวเองไปเลยซะด้วยซ้ำ อะไรก็แล้วแต่ถ้าไม่มาถึงตัว เค้าก็จะใช้ชีวิตไปตามปกติ
10 เม.ย. 2563 เวลา 05.29 น.
ดูทั้งหมด