ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ปธ.หอการค้าไทย ชี้ ผลงานรัฐบาลแพทองธาร 90 วัน หลายนโยบายทำได้ดี-มาถูกทาง คาด GDP ปี 68 โต 2.8-3.2%

การเงินธนาคาร
อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว

ปธ.หอการค้าไทย ชี้ ผลงานรัฐบาลแพทองธาร 90 วัน หลายนโยบายทำได้ดี-มาถูกทาง คาด GDP ปี 68 โต 2.8-3.2% แนะเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ

วันที่ 16 ธันวาคม 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า จากการทำงานของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในช่วง 90 วันที่ผ่านมา ถือว่าหลายนโยบายทำได้ดีและมาถูกทางแล้ว อาทิ ด้านการท่องเที่ยว และซอฟต์พาวเวอร์

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ซึ่งต้องชื่นชมรัฐบาลที่พยายามผลักดันหลายมาตรการ เพื่อทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยกลับมาเติบโตได้โดดเด่นในวันนี้ ตั้งแต่การยกเลิกวีซ่าเข้าไทยกับหลายสิบประเทศทั่วโลก การปรับขั้นตอนและอำนวยความสะดวกคนเข้าเมือง

ขณะเดียวกันภายในประเทศก็มีการเร่งโปรโมทนโยบายซอฟต์เพาเวอร์ ทั้งด้านอาหาร การจัดบิ๊กอีเว้นท์ และเฟสติวัล เทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศ สิ่งเหล่านี้ทำให้มีผลต่อความเชื่อมั่น กระตุ้นให้เกิดภาพลักษณ์ของประเทศ ที่ทำให้วันนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 32 ล้านคน (ข้อมูล 1 ม.ค.-8 ธ.ค. 67) ซึ่งหากมีการวางแผนและเพิ่มการประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้น เชื่อว่าปีหน้า อาจได้เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลับมาแตะที่ 40 ล้านคนได้

ด้านการดึงดูดการลงทุน ขอชื่นชมความพยายามของรัฐบาลในการดึงบิ๊กคอร์ปยักษ์ใหญ่ของโลกในด้านเทคโนโลยี เข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการ Data Center, Cloud Service, อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน EV, การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ มีตัวเลขการเข้ามาลงทุนเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

อีกส่วน คือ ความพยายามในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจ ที่เป็นเหมือนตัวฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แม้ว่าการแก้ไขปัญหาหนี้ และตัวเลขหนี้สาธารณะยังมีแนวโน้มไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แต่ก็เห็นถึงความพยายามของรัฐบาล โดยเฉพาะการรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน

"ขอชื่นชมรัฐบาลในภาพรวมการทำงานตลอดช่วง 90 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเด็นความพยายาม และความตั้งใจ ซึ่งหลายนโยบายของรัฐบาลดำเนินมาถูกทาง และทำได้ดี…หอการค้าฯ ขอบคุณรัฐบาลที่ได้ตอบรับข้อนำเสนอหลายมาตรการของเอกชน

โดยหลักใหญ่ใจความสำคัญ คือ การเร่งแก้ไขหนี้ให้กับคนไทย โดยเฉพาะหนี้รถปิกอัพ ที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของประชาชนไม่ให้ถูกยึด รวมถึงการพิจารณาลดยืดหนี้ของประชาชน ซึ่งได้นำมาสู่นโยบายแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐบาลในวันนี้ ส่วนนี้นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนแล้ว ยังจะช่วยสร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำได้มาก" นายสนั่น ระบุ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ทั้งนี้จากที่รัฐบาลประกาศแผน 11 นโยบาย เพื่อ "โอกาส" ของคนไทย โดยแบ่งเป็น 5 นโยบายเร่งด่วนที่จะทำทันทีในปี 2568 ประกอบด้วย

1. โครงการ SML

2. หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน

3. ดิจิทัลวอลเล็ต

4. การแก้หนี้ครัวเรือน และ

5. บ้านเพื่อคนไทย

ผนวกกับ 6 นโยบายเชิงโครงสร้างระยะยาว ประกอบด้วย

1. การจัดการน้ำท่วม-น้ำแล้ง

2. การแก้ปัญหาหมอกควัน PM 2.5

3. ปัญหายาเสพติด

4. การทลายการผูกขาด

5. การแก้ปัญหาธุรกิจนอกระบบ และ

6. นโยบายการลงทุน

ส่วนนี้หอการค้าไทย เชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหา และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยได้อย่างแน่นอน

นายสนั่น กล่าวด้วยว่า สำหรับปี 2568 หอการค้าไทย ยังประเมินเบื้องต้นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย อาจไม่โดดเด่นไปกว่าปีนี้มากนัก เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ปัญหาสงครามในหลายภูมิภาค ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งยังขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี Impact ต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อเป็นแรงส่งให้กับเศรษฐกิจในช่วงต้นปีแรกของปี 68

ดังนั้นหอการค้าไทย จึงอยากฝากให้รัฐบาลเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ โดยภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ รวมถึงการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามกลไกคณะกรรมการไตรภาคี

การทำมาตรการส่งเสริมการลงทุน และการท่องเที่ยว ในจังหวัดที่มีศักยภาพ หรือจังหวัดที่เป็นเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ และความเจริญให้ทั่วถึง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงรุก Soft Power ของรัฐบาล จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวปีหน้าให้เติบโตได้ก้าวกระโดด

ขณะเดียวกันโจทย์ใหญ่อย่างการแก้ไขปัญหาหนี้ ก็จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และพิจารณามาตรการเฉพาะในหนี้แต่ละประเภท ซึ่งส่วนนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล สถาบันการเงิน หน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชน

สำหรับภาคการส่งออก ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 68 ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกหลัก อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เม็ดพลาสติก และยางล้อ ดังนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมกันเตรียมความพร้อมรับมือเจรจาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าและส่งออกกับสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า

ขณะเดียวกันขอชื่นชมภาครัฐที่สามารถเจรจาความตกลงการค้าเสรีภายใต้ FTA-EFTA ระหว่างประเทศไทย และสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรปได้สำเร็จ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการค้าการส่งออกของไทยในอนาคต นอกจากนี้ ภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ โดยดูแลการค้าให้เป็นธรรม ไม่เป็นตลาดที่ดัมพ์สินค้าไร้คุณภาพ ซึ่งจะทำลายตลาดระยะยาวของประเทศ

นายสนั่นกล่าวด้วยว่า ข้อเสนอสมุดปกขาว ทั้งจากหอการค้าไทย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ได้รวบรวมความคิดเห็นของภาคเอกชนทั่วประเทศ จัดทำเป็นข้อเสนอและแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนนี้รัฐบาลสามารถนำไปพิจารณาและปรับเป็นมาตรการที่เหมาะสม ก็จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถที่จะเดินหน้าท้าทายกับความผันผวนของเศรษฐกิจปี 68 ได้อย่างเข้มแข็ง และสามารถเติบโตได้เป้าหมายต่อไป โดยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า GDP ปี 68 อาจเติบโตได้ในกรอบ 2.8-3.2%.

อ่านข่าว เศรษฐกิจทั่วไทย ทั้งหมด ได้ที่นี่

ดูข่าวต้นฉบับ