แพทย์ฉุกเฉินผู้มีบทบาทสำคัญช่วยผู้ป่วยวิกฤตนอกโรงพยาบาล ประเทศไทยมีเพียง 674 คน อัตราการผลิตบัณฑิตเพียงปีละ 200 คน หน่วยงาน-สถาบันการศึกษา 10 แห่ง ตั้งเป้าผลิตร่วมกันให้ได้ 15,000 คน เริ่มปีการศึกษา 2566
วันที่ 27 ธันวาคม 2565 อาจารย์นายแพทย์สุขสันต์ กนกศิลป์ อาจารย์ประจำหลักสูตรฉุกเฉินการแพทย์ คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า การบริการการแพทย์ฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล ถือเป็นงานบริการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบสุขภาพของประเทศ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้รับการปฏิบัติการทางการแพทย์ขั้นสูงตั้งแต่เมื่ออยู่นอกโรงพยาบาล ทำให้มีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ
ดังนั้น การบริการการแพทย์ฉุกเฉินจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการทำหน้าที่บริบาลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล อันเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ป่วยฉุกเฉิน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2551
และเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ได้มีประกาศ “พระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาฉุกเฉินการแพทย์เป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2564” โดยให้มีคณะกรรมการวิชาชีพทำหน้าที่ในการขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาฉุกเฉินการแพทย์ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ ต้องได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรสาขาอื่นที่เทียบเท่าปริญญาด้านฉุกเฉินการแพทย์”
ผลิตแพทย์ฉุกเฉินได้เพียงปีละ 200 คน
ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ระดับปริญญามาแล้วประมาณ 13 ปี ตราบจนปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษาสาขาฉุกเฉินการแพทย์ที่มีความสามารถในระดับนี้จำนวน 674 คน (ข้อมูลเดือนเมษายน พ.ศ. 2565) อัตราการผลิตบัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์เพียงปีละ 180-200 คนเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ
ดังนั้น คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ โดยโรงเรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาวิชาฉุกเฉินทางการแพทย์ (ต่อเนื่อง) ได้จัดทำหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ เพื่อผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ ความชำนาญ และทักษะด้านฉุกเฉินการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการผดุงชีวิต รวมทั้งป้องกันการเสียชีวิต หรือการรุนแรงขึ้นของการบาดเจ็บ หรืออาการป่วย
ตั้งเป้าผลิตบัณฑิตแพทย์ฉุกเฉิน 15,000 คน
อีกทั้งยังได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือกับองค์กรภาคีเครือข่ายอีก 9 สถาบัน ประกอบด้วย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ, มหาวิทยาลัยมหิดล, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, สถาบันพระบรมราชชนก และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อผลิตบัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์
ด้วยการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา ตั้งเป้าผลิตจำนวนบัณฑิต 15,000 คน ใน 10 ปี จากปัจจุบันเพียงปีละ 200 คน เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านบุคลาการทางการแพทย์ให้เพียงพอในอนาคต
อาจารย์นายแพทย์สุขสันต์กล่าวต่อว่า เพราะการเจ็บป่วยไม่ได้เกิดเฉพาะโรงพยาบาล ความช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุจึงสำคัญมาก เพราะจะทำให้ผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตได้สูงกว่า การผลิตบัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์จะมีทักษะความรู้ ความสามารถในระดับผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาฉุกเฉินการแพทย์ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งด้านคุณธรรม จริยธรรม และเจตคติที่ดี มีความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง หลักการ ทฤษฎี และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฉุกเฉิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานฉุกเฉิน ระบบสุขภาพของประเทศไทย ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยและนานาชาติ หลักการพื้นฐานด้านระบบคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมทั้งมาตรฐานการปฏิบัติการฉุกเฉิน รวมถึงจะมีทักษะ ความสามารถปฏิบัติงาน ซึ่งนักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ควรทำได้เมื่อได้รับมอบหมาย
ประกอบด้วย ทักษะด้านกระบวนการคิด (Cognitive Skills) ทักษะการหยั่งรู้ และความคิดสร้างสรรค์ (Logical, Intuitive and Creative Thinking) หรือทักษะการปฏิบัติ/วิธีปฏิบัติที่มีความคล่องแคล่วและความชำนาญในการปฏิบัติตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติได้อย่างดีเยี่ยม
รวมทั้งได้พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของหน่วยปฏิบัติการและสถานพยาบาลที่เป็นแหล่งฝึกปฏิบัติการ เรียนรู้วิธีการจัดการศึกษารูปแบบใหม่ ซึ่งผลิตบัณฑิตได้ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้ที่สุด ด้วยการสร้างและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้บัณฑิต สามารถต่อยอดการผลิตนักฉุกเฉินการแพทย์เฉพาะทางได้ และพัฒนาต้นแบบของรูปแบบการศึกษาแนวใหม่ในการผลิตบัณฑิตสายวิชาชีพด้านสุขภาพ ที่เป็นสาขาขาดแคลนของประเทศ
ที่ผ่านมา คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในฐานะหน่วยงานจัดการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ระดับปริญญาในประเทศไทย ได้ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ มีนโยบายในเรื่องการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา นำมาสู่การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการผลิตบัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์ เพื่อตอบสนองนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ร่วมกันกับภาคีเครือข่ายรวม 10 สถาบัน ผลิตบัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์
โดยโครงการดังกล่าวมีระยะเวลาการดำเนินการปีงบประมาณ 2566-2575 เริ่มรับผู้เรียนปีงบประมาณ 2566-2570 เริ่มมีผู้จบการศึกษาปี 2568 เป็นต้นไป จำนวนบัณฑิตที่คาดว่าจะผลิตได้คือ 15,000 คน ตั้งเป้าผลสัมฤทธิ์ บัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์ที่จะสำเร็จการศึกษาต้องสามารถปฏิบัติงานด้านฉุกเฉินการแพทย์ โดยครอบคลุมความรู้ ทักษะ และความสามารถในระดับผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาฉุกเฉินการแพทย์
คุณสมบัติแพทย์ฉุกเฉิน
ด้านนางสาวพุธิตา อาริสโตเรนัส นักฉุกเฉินการแพทย์ เผยถึงคุณสมบัติและรายละเอียดการเรียนการสอนว่าหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ มุ่งเน้นผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ ความชำนาญ และทักษะด้านฉุกเฉินการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการผดุงชีวิต รวมทั้งป้องกันการเสียชีวิต หรือการรุนแรงขึ้นของการบาดเจ็บหรืออาการป่วย
ฉะนั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้น คือต้องเป็นผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมตอนปลายหรือเทียบเท่า สามารถเข้าเรียนในหลักสูตรฉุกเฉินการแพทย์ หลักสูตร 4 ปี หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง หรือเทียบเท่าในสาขาเวชกิจฉุกเฉิน ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ หรือสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องและได้รับอนุมัติให้สำเร็จการศึกษาก่อนวันเปิดภาคเรียน รุ่นละ 30 คน สามารถเข้าเรียนต่อในหลักสูตร 2 ปี เมื่อจบการศึกษาจะได้รับปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต (ฉุกเฉินการแพทย์)
นักศึกษาจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงการอัพสกิลผ่านประสบการณ์จริง ทั้งด้านความรู้ โดยเน้นความรู้เชิงทฤษฎีและ/หรือข้อเท็จจริงเป็นหลัก เช่น ความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานฉุกเฉิน ระบบสุขภาพของประเทศไทย ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยและนานาชาติหลักการพื้นฐานด้านระบบคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมทั้งมาตรฐานการปฏิบัติการฉุกเฉิน
ภายหลังจากจบการศึกษาแล้ว นักศึกษาจะมีความเชี่ยวชาญในการทำงานของนักฉุกเฉินการแพทย์ คือการบริบาลและดูแลรักษาผู้ป่วยนอกสถานพยาบาล และในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เป็นการกู้ชีพชั้นสูง การทำหัตถการและการบริหารยาฉุกเฉิน การรักษาและส่งต่อไปยังสถานพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากภาวะวิกฤต
นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย โดยกลุ่มปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ชีพฉุกเฉิน ใช้เวลาอบรมทั้งหมด 40 ชั่วโมง 2.พนักงานฉุกเฉินการแพทย์ ใช้เวลาอบรมทั้งหมด 115 ชั่วโมง 3.เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือเทียบเท่า เข้าเรียนในหลักสูตร 2 ปี 4.นักฉุกเฉินการแพทย์
สำหรับอาชีพที่สามารถประกอบได้หลังจากนี้ นอกจากนักฉุกเฉินการแพทย์หรือนักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ยังมีผู้สอนในองค์กรการศึกษาหรือฝึกอบรม นักวิชาการ นักวิจัยด้วย