ฝุ่นพิษถล่มกรุงบานปลาย “บิ๊กตู่” นั่งไม่ติด ระดมทุกหน่วยงานแก้ปัญหาด่วน เสนอแผน 2 แนวทางระยะสั้น-ยาว ตรวจจับรถปิกอัพ 2.6 ล้านคันปมปัญหาควันดำ เร่งมาตรฐานน้ำมัน EURO 5 ซุกปัญหาไว้ใต้ฝุ่น เพิ่มภาระผู้ประกอบการ-ประชาชนแบกรับ “ค่าต้นทุนขจัดฝุ่น” นักธุรกิจวอนรัฐจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน ก่อนผลกระทบทำลายเศรษฐกิจ
ฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เกินค่ามาตรฐานที่ปกคลุมกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ในขณะนี้มีแหล่งกำเนิดจาก กิจกรรมการขนส่งทางถนน (road transport) ก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 จำนวน 7.73 กิโลตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 54.3
ปิกอัพตัวการผลิตฝุ่น PM 2.5
รายงานข่าวจากที่ประชุมหน่วยงานภาครัฐแก้ปัญหาวิกฤตหมอกควันพิษระบุว่า รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลจัดเป็นตัวการใหญ่ที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน โดยรถยนต์ที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองมาก 3 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก (รถปิกอัพ) ก่อให้เกิดฝุ่นจำนวน 2.78 กิโลตัน คิดเป็นร้อยละ 36 ของการระบายฝุ่น PM 2.5 ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ รถบรรทุกขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดฝุ่น 2.48 กิโลตันคิดเป็นร้อยละ 32 และรถบัสขนาดใหญ่จำนวน 1.38 กิโลตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 17.9
สอดคล้องกับตัวเลขการจดทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก ณ เดือนตุลาคม 2561 ปรากฏมีรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลในประเทศทั้งหมด 2,632,239 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 1,010,397 คัน,
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน 170,488 คัน, รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถปิกอัพ) 1,227,585 คัน, รถโดยสาร 25,315 คัน, รถบรรทุก 97,480 คัน, รถแทรกเตอร์ 96,230 คัน, รถบดถนน 3,944 คัน และรถประเภทอื่นอีก 1,983 คัน
ด้านกรมควบคุมมลพิษได้กำหนดระดับสีการแจ้งเตือนความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงเกิดสถานการณ์ เพื่อใช้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความรุนแรงคือ ค่าสีเหลือง หมายถึง สถานการณ์ปานกลาง ค่า PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงอยู่ในช่วง 38-50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ยังสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติ ค่าสีส้ม สถานการณ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ค่า PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงอยู่ในช่วง 51-80 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งหรือลดกิจกรรมภายนอกอาคารลง และค่าสีแดง สถานการณ์อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงมีค่ามากกว่า 90 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ต้องงดกิจกรรมการออกกำลังกายกลางแจ้งและกิจกรรมภายนอกอาคาร
ล่าสุด ณ วันที่ 15 มกราคม 2562 กรมควบคุมมลพิษได้ตรวจพบฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตรวจพบค่าระหว่าง 41-75 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (ค่าสีส้ม) เกินมาตรฐานบริเวณริมถนนกาญจนาภิเษก (บางขุนเทียน)-พระราม 4-อินทรพิทักษ์ (ธนบุรี)-ริมถนนลาดพร้าว (วังทองหลาง)-ถนนดินแดง-พระประแดง-อ้อมน้อย-บางกรวย และนครปฐม
เข้มงวดรถควันดำ
กรุงเทพมหานครร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดประชุมแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปมาตรการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและระยะยาว โดยมาตรการเร่งด่วน กทม.จะแจกจ่ายหน้ากากอนามัย N95 และจะล้างทำความสะอาดถนนใน กทม.ทุกจุด รวมถึงประสานกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) และกรมการขนส่งทางบกตั้งจุดตรวจจับรถที่ปล่อยควันดำเพิ่มหรือคุมการใช้รถมีอายุเกิน 7 ปี หากพบว่า มีควันดำเกินค่าจะพักการใช้รถ 1 เดือน ให้นำรถไปเปลี่ยนคุณภาพใหม่
“ฝุ่นละออง PM 2.5 กว่า 60% เกิดจากเครื่องยนต์ดีเซล โดยเฉพาะรถที่มีสภาพเก่า มีควันดำ ส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่ได้ห้ามนำเข้ามาในพื้นที่ กทม.ชั้นในเวลา 05.00-09.00 น. และ 15.00-21.00 น.แล้ว โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ใน กทม.ทั้งรถไฟฟ้าและอาคารให้หาสิ่งปิดคลุมป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจายและผมยังประสานผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร ห้ามประชาชนเผาสิ่งของในที่โล่งแจ้งเป็นเวลา 2 เดือน จนถึงเดือนกุมภาพันธ์นี้” พล.ต.อ.อัศวินกล่าว
ด้านมาตรการระยะยาว กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะหารือร่วมกับ กระทรวงพลังงาน และผู้ประกอบการรถยนต์ภายในประเทศปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานเครื่องยนต์ใหม่และคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงให้สูงขึ้น ส่งเสริมให้ใช้น้ำมัน B20 แทนน้ำมันดีเซล ส่วนผู้ประกอบการรถยนต์จะผลิตรถ EV และไฮบริดมากขึ้น
ซุกปัญหาไว้ใต้ฝุ่น
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองอยู่ในขณะนี้ได้แบ่งเป็น 2 แนวทางคือ 1) แนวทางการดำเนินการด้านคมนาคมระยะสั้นและระยะยาวตามค่าสีการแจ้งเตือน (สีเหลือง-ส้ม-แดง) ของกรมควบคุมมลพิษ ในระยะสั้นจะเน้นไปที่การตรวจสอบบำรุงรักษารถให้อยู่ในสภาพดี การตรวจจับควันดำ การปรับหรือชะลอแผนการก่อสร้าง การงดใช้รถยนต์ดีเซลของหน่วยงานราชการ ไปจนกระทั้งถึงการลดจำนวนรถยนต์ในเขตเมือง (carpool) ส่วนแผนระยะยาวจะส่งเสริมให้เกิดโครงข่ายการให้บริการขนส่งสาธารณะเชื่อมโยงระบบราง การใช้รถโดยสารที่ใช้ก๊าซ NGV รถไฟฟ้า/ไฮบริด การจัดหาจุดจอดแล้วจร
2) แนวทางการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงและรถยนต์ใหม่ ด้วยการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมัน EURO 5-6 เพื่อลดค่ากำมะถันให้เหลือไม่เกิน 10 ppm จากปัจุบันอยู่ที่มาตรฐาน EURO 4 ให้เร็วขึ้นตามแผนเดิมในวันที่ 1 มกราคม 2566 สำหรับ EURO 5 และ 1 กรกฎาคม 2572 สำหรับ EURO 6 เพื่อควบคุมการระบายฝุ่นจากรถยนต์
“แนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองยังมีข้อจำกัดจากการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ ควันดำ มีหลายหน่วยงานทั้งตำรวจและกรมการขนส่ง-กรมควบคุมมลพิษ ในลักษณะต่างคนต่างจับ ใช้กฎหมายคนละฉบับ ส่วนการชะลอ/งดการก่อสร้างก็จะก่อให้เกิดความเสียหายกับเจ้าของโครงการ เรื่องการห้ามใช้รถเครื่องยนต์ดีเซลของหน่วยราชการหรือใช้ระบบ carpool จะกระทบกับประชาชนจำนวนมากและไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า การรณรงค์ให้ใช้ก๊าซ NGV-น้ำมันไบโอดีเซล-B20 ทุกวันนี้รับยังอุดหนุนราคาน้ำมัน-ก๊าซเหล่านี้ผ่านทางกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่
ส่วนการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมัน EURO 5 ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะโรงกลั่นน้ำมันต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่าโรงละ 14,000-20,000 ล้านบาท รวมทุกโรงกลั่นเกือบ 100,000 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนนี้จะถูกบวกเข้ามาให้ราคาน้ำมันดีเซล EURO 5 ให้ผู้บริโภครับภาระอีกไม่น้อยกว่าลิตรละ 20 สตางค์ เรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่เบื้องหลังแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่หน่วยงานราชการไม่ยอมพูดถึง” แหล่งข่าวในวงการพลังงานกล่าว
เลื่อน EURO 5 ให้เร็วขึ้น
นายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของรถยนต์ดีเซล 50-60% โดยในกรุงเทพฯมีจำนวนรถดีเซลมากถึง 2.5 ล้านคัน จากรถทั้งหมด 9.8 ล้านคัน ซึ่งจากการตรวจสอบควันดำรถยนต์ดีเซล 50,000 คัน โดย บก.จร. พบ “มีรถไม่ผ่านมาตรฐาน 20%” จึงได้ให้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์และหยุดวิ่ง
ส่วนมาตรการระยะยาวเห็นว่า ควรเลื่อนการประกาศใช้โรดแมปมาตรฐานเครื่องยนต์ EURO 5 ให้เร็วขึ้นจากเดิมกำหนดว่า จะใช้ในปี 2566 เป็น 2564-2565 ได้หรือไม่ ซึ่งหากจะเลื่อนต้องเตรียมความพร้อมทั้งส่วนของผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตเชื้อเพลิง โดยได้ประสานกับกระทรวงพลังงานแล้ว พร้อมทั้งขอให้เพิ่มการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 ทดแทนการใช้ดีเซล ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการใช้ประมาณ 4 ล้านลิตร
สำหรับมาตรการระยะเร่งด่วน อาทิห้ามรถบรรทุกเข้าในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในตามช่วงเวลาโดยอาศัย พ.ร.บ.ขนส่งฯ การเร่งผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้าให้คืนพื้นผิวจราจร เพื่อลดปัญหาจราจรติดขัดซึ่งเป็นสาเหตุการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ และเพิ่มการฉีดน้ำลดฝุ่นควัน
ด้าน นายยู เจียรยืนยงพงศ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางรถบรรทุกแห่งอาเซียน กล่าวถึงมาตรการคุมเข้มรถบรรทุกอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า ขณะนี้มีแค่ 0.005% เป็นรถบรรทุกที่เข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างย่านสุขุมวิท-ถนนเพชรบุรีเท่านั้น ส่วนการบังคับใช้มาตรฐาน EURO 5 กับรถบรรทุกนั้น ถือว่า “เกินความจำเป็นและเป็นการเพิ่มต้นทุนผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 20%” เพราะรถยนต์ที่จะใช้มาตรฐานดังกล่าวมีราคาสูงกว่าปกติอีก 600,000 บาท/คัน เพราะน้ำมัน EURO 5 จะต้องจำหน่ายในราคาสูงขึ้น
ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม ปรากฏ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งตั้งคณะทำงานวางแผนติดตามจัดการมลพิษฝุ่นละอองจากโรงงานแล้ว โดยจะคุมเข้มโรงงานที่มีกระบวนการผลิตที่ก่อให้เกิดฝุ่นในปริมาณมาก เช่น โรงโม่หิน โรงงานผลิตแอสฟัลติก โรงงานผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อการก่อสร้าง และโรงงานที่มีความเสี่ยงปล่อยฝุ่นละออง เช่น โรงงานที่มีหม้อไอน้ำโดยใช้เชื้อเพลิงแข็งเป็นเชื้อเพลิง ส่วนกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้สั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด ตรวจสอบเข้มงวดทุกโรงงานที่มีการปล่อยฝุ่นละออง รวมไปถึงรณรงค์ไม่ให้ชาวไร่อ้อยทำการเผาไร่อ้อยก่อนตัดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลด้วย
ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรีประชุมบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันพิษเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมาด้วย
สทท.แนะรัฐเร่งจัดการปัญหา
นายสุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหาเรื่องฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจและเฝ้าระวังผลกระทบกันอย่างเคร่งครัด เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่ประเทศจีน และส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวจีนมาแล้ว “ปัญหาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯขณะนี้ ตอนนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว แต่หากภาครัฐไม่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยได้ในระยะยาวมีผลกระทบแน่นอน” นายสุรวัชกล่าว
สอดรับกับแหล่งข่าวในธุรกิจท่องเที่ยวอีกรายหนึ่งระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรออกมาบริหารจัดการให้ดี ไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ กระทั่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่กล้าที่จะเดินทางเข้ามา เพราะตอนนี้ไทยเพิ่งเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับคืนมาได้ระดับหนึ่ง และกำลังจะเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของตลาดจีน คือ ช่วงตรุษจีน จึงอยากให้รัฐออกมาแอ็กชั่นและบริหารจัดการปัญหานี้โดยเร็ว
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวขณะนี้ยังไม่มีกระแสเกี่ยวกับความกังวลของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นละอองที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการก็อยู่ในช่วงเฝ้าระวังการประกาศเตือนจากประเทศต่าง ๆ และคอมเมนต์จากนักท่องเที่ยวเช่นกัน
ฝุ่น PM 2.5 ท่วมหน้าพระลาน
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานเข้ามาถึง 10 อันดับพื้นที่ทั่วประเทศที่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) สูงสุด จากฐานข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ ณ วันที่ 15 มกราคม 2562 ปรากฏมีค่าสีแดง (PM 2.5 มีค่ามากกว่า 80 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) อยู่ที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี (230 ไมโครกรัม), ค่าสีส้ม (51-90 ไมโครกรัม) ที่ อ.อรัญประเทศ-กระทุ่มแบน-อ.เมืองราชบุรี-อ.เมืองกาญจนบุรี-อ.เมืองพระนครศรีอยุธยา โดย นายสมภพ สมิตะสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ ต.หน้าพระลาน อ.เฉลิมพระเกียรติ เกิดจากการระเบิดหิน รวมไปถึงการขนหิน ดิน และทรายของรถบรรทุกที่วิ่งผ่าน ทางจังหวัดได้กวดขันเรื่องของการจัดรถฉีดน้ำใส่ถนน-ผ้าใบคลุมรถบรรทุกเพื่อลดการเพิ่มฝุ่นละอองแล้ว
ด้านจังหวัดเชียงใหม่ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้เตรียมบูรณาการ 4 จังหวัด(เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง-แม่ฮ่องสอน)บริหารจัดการปัญหาหมอกควันจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเกิดขึ้นทุกปีในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2562
แห่ซื้อหน้ากาก-เครื่องฟอก
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจตลาดพบว่า ขณะนี้หน้ากากอนามัยชนิดพิเศษที่ป้องกันฝุ่นละออง PM2.5 เป็นที่ต้องการมากทำให้เกิดปัญหาสินค้าขาดตลาดในหลายพื้นที่ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ผู้ประกอบการทั้งร้านสะดวกซื้อ-ร้านค้าปลีก-ร้านขายยา ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ทยอยนำสินค้าออกมาจำหน่ายหลากหลายแบรนด์และอีกสินค้าที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกันคือ เครื่องฟอกอากาศ แต่เนื่องจากราคาต่อชิ้นค่อนข้างสูง และมีผู้ทำตลาดหลายแบรนด์จึงไม่พบว่ามีการขาดตลาดแต่อย่างใด
ผลกระทบเศรษฐกิจ 6.6 พันล้าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในกรุงเทพฯและปริมณฑลเบื้องต้นคาดว่า จะมีอย่างน้อย 2,600-6,600 ล้านบาทแบ่งเป็น 2 ส่วนแบ่งเป็น 1)ค่าเสียโอกาสจากประเด็นสุขภาพจากที่สถานการณ์ฝุ่นละอองไปกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บป่วยสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจ จนต้องไปพบแพทย์ รวมไปถึงเม็ดเงินค่าใช้จ่ายที่ผู้บริโภคต้องซื้อหน้ากากอนามัยมาสวมใส่ โดยประเมินค่าเสียโอกาสจากประเด็นนี้ราว 1,600-3,100 ล้านบาท
2)ค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวที่ทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากเดิมที่จะเดินทางมายังกรุงเทพไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดอื่น กรณีนี้จะไม่ส่งผลกระทบในภาพรวมของประเทศ แต่หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายในเวลาอันรวดเร็ว อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนเส้นทางไปประเทศอื่น ซึ่งกรณีนี้จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย ล่าสุดสื่อต่างประเทศก็ระบว่ากรุงเทพติดอันดับ 1 ใน 10 ของเมืองที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานโลกโดยค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวเฉพาะพื้นที่กรุงเทพอยู่ที่ 1,000-3,500 ล้านบาท
Peelawat H. ใช้แผนระยะสั้นควบคู่กับระยะยาวครับ
ระยะสั้นใช้ฝนเทียม ล้างถนน / รถยนต์ส่วนบุคคลงดขับเข้ามาถึงเขตเมืองที่ประสบปัญหา ลด ค่าโดยสารบีทีเอส เอ็มอาทีลง เพิ่มรอบเดินเรือให้มากขึ้น ประกาศให้หยุดงาน วันเสาร์ หรืออาทิต ห้ามขับรถเข้ามา
ระยะยาว จะแก้กฎระเบียบการใช้น้ำมันเอย พัฒนาระบบราง ระบบทางน้ำ ปลูกป่า เครดิตภาษี เร่งวิจัยผลิตหน้ากากอนามัยให้ถูกลงแต่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งคิดพัฒนาเครื่องกรองอากาศ ขนาดใหญ่ เพื่อฟอกอากาศในพื้นที่เสี่ยง
17 ม.ค. 2562 เวลา 07.06 น.
Tanabodi ปิคอัพแม่งชอบทำควันดำนครปฐมเพียบ
17 ม.ค. 2562 เวลา 06.17 น.
ทำไมน้ำดีเซลของ บางจาก กับ ปตท Euro5 แต่ทำไมถึงไม่ขึ้นราคาครับ
แล้วปั๊มเอกชนต่างชาติอื่นๆ พอให้เปลี่ยนเป็น EURO5
โวยวายจะขอขึ้นราคา
ผมว่านะ ดีเซลในรถยุโรปพรีเมี่ยม ทำไมเค้าถึงทำให้มันคายไอเสียต่ำพอๆกับ Camry Accord เครื่องเบนซิน
เผลอๆจะคายมลพิษแค่เท่าๆกับ รถเครื่อง 1800cc
เพราะเค้าใช้สาร Adblue ไงครับ เรื่องปล่อยมลพิษต่ำ
ก็เป็นรองแค่รถไฟฟ้าล้วนเท่านั้นแหละครับ
แก้ไม่ยากหรอกครับ แต่แถกันไปเพื่อหาผลประโยชน์แอบแฝง เช่นขายB20 แต่ไม่แก้ที่ระบบบำบัดไอเสียของรถก่อนปล่อยออกทางท่อไอเสีย
17 ม.ค. 2562 เวลา 06.36 น.
noi ตอนผมอยู่กองการท่องเที่ยวที่ท่านผู้ว่าพิจิตร รัตตกุล เป็นผู้ว่า ท่านเอาจริงเอาจังเรื่องสิ่งแวดล้อม ผลการจัดอันดับสิ่งแวดล้อมของนิตยสาร Mercer นิตยสารสิ่งแวดล้อมของโลก จัดให้กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่ที่13ของโลก ผมเห็นท่านเอาจริงเอาจังแม้กระทั่งเขตต่างๆท่านก็เอาใจใส่ลงไปตรวจ ทำให้ผู้ทำงานตื่นตัว มีการประเมินผลงานตลอด ไม่ใช่แต่งตั้งแต่พวกมีเส้นเข้าไปทำงาน เอาง่ายๆใครจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมลองไปปรึกษาท่านดู
17 ม.ค. 2562 เวลา 10.45 น.
mayuree ภาษีรถยนต์ควรปรับเปลี่ยนใหม่ คือรถใหม่เสียภาษีถูกรถยิ่งเก่าภาษียิ่งต้องแพง และที่สำคัญควรลดภาษีนำเข้ารถยนต์ด้วย คนจะได้เลิกขับรถเก่าควันดำสร้างมลภาวะกันสักที รถบ้านเราราคาโคตรแพง ใครจะมีปัญญาเปลี่ยนบ่อยๆ รบ.ต้องช่วยปชช.ในเรื่องนี้ด้วยนะ
17 ม.ค. 2562 เวลา 07.17 น.
ดูทั้งหมด