สหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ ร้อง ITF-LONDON แจ้งรัฐบาลไทย คงสภาพแรงงานการบินไทย ปลดพนักงานต้องหลังฟื้นฟูสำเร็จ ด้านสรส.ยันร่วมพนักงานบินไทย ชี้ มีขบวนการปล้นการบินไทย ล้มสหภาพฯ
นายนเรศ ผึ้งแย้ม อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การบินไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการประสานงานสหพันธ์แรงงานขนส่ง ระหว่างประเทศแห่งประเทศไทย (ITF-THAILAND) มีมติให้ส่งคำร้องขอต่อ ITF-LONDON เพื่อส่งเรื่องต่อรัฐบาลไทย ใน 3 ประด็น คือ 1. คงสวัสดิการและสภาพการจ้างพนักงานการบินไทยเหมือนเดิม
2. การปลดพนักงานให้ทำหลังจากแผนฟื้นฟูสำเร็จ
3. แผนฟื้นฟูให้มีตัวแทนแรงงานเข้าไปมีส่วนร่วม
นอกจากนี้ วันนี้ (27 พ.ค.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 แจ้งมติเอกฉันท์องค์กรสมาชิก สรส. แต่งตั้งคณะทำงานฟื้นฟูการบินไทย
โดยระบุว่า ตามที่รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตวีได้มีมติในการฟื้นฟูบริษัทการบินไทย โดยผ่านกระบวนการลัมละลายอันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการฟื้นฟูการบินไทยตามแผนที่ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้น และได้เสนอผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สังกัดกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และผ่าน
คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปก่อนหน้านี้กว่า 2 ปี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุกฝ้ฝ่ายมีการรับรู้ในการดำเนินการทำแผน มีการ
รายงานทุกครั้งในการประชุม คนร. ยกเว้น สหภาพแรงงานและพนักงานที่ไม่มีส่วนรับรู้แต่ประการใด
จนในที่สุดกระบวนการฟื้นฟูตามแผนเดิมที่ผู้บริหาร สคร. คนร. และ คม. รับรู้และมีส่วนร่วมนั้นลัมเหลวโดยสิ้นเชิงแต่ปราศจากผู้รับผิดชอบ จนในที่สุดต้องเข้าสู่กระบวนการลัมละลายและจะค้ำประกันเงินกู้ให้การบินไทยฟื้นฟูอีกเป็นจำนวน 54,000.ล้านบาท จนสังคมต้องก่นด่าผ่านสื่อออนไลน์รวมทั้งสื่อมวลชนต่างพร้อมใจกันเสนอข่าว
และเป็นช่วงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และรัฐบาลต้องออก พ.ร.ก. กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาทเพื่อเยียวยาประชาชน และยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ยังไม่ยื่นต่อศาลลัมละลาย ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะทำงานในการฟื้นฟู กระทรวงการคลังก็ได้ขายหุ้นบริษัท การบินไทยออกไปทันทีจำนวน 69 ล้านหุ้น ๆ ละ 4.03 บาท จำนวนเงิน 278 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.17 เปอร์เซ็นต์ ทั้ง ๆ ที่การบินไทยมีหนี้สินสูงถึง 246,000 ล้านบาท
ซึ่งการขายหุ้นออกไปจำนวนดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สถานะหนี้ของการบินไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแต่ประการใด แต่การขายหุ้นออกไปจนกระทรวงการคลังถือหุ้นน้อยกว่าร้อยละ 51 ทำให้บริษัทการบินไทยพันสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ และทำให้การตรวจสอบ การมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูจากพนักงานการบินไทยสิ้นสุดลงตามนัยของกฎหมาย เพราะจะทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทยสิ้นสภาพไปด้วย จากนี้ไปการดำเนินการก็ปราศจากการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบจากคนการบินไทย
จากที่กล่าวมาคงกล่าวได้ว่านี่คือ "ขบวนการปล้นการบินไทย สายการบินแห่งชาติ "คือขบวนการล้มสหภาพแรงงาน" ซึ่งได้พยายามทำมาก่อนหน้านี้และมาบรรลุในสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ
ที่สำคัญ "คนที่พยายามทำลายการบินไทย สายการบินแห่งชาติ ตั้งแต่น นับแต่ปี พ..ศ.2544 ก็ยังเป็นเสนาบดี ในรัฐบาลชุดนี้ " ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อมีเหตุที่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูโดยผ่านกระบวนการโดยศาลล้มละลายทุกอย่างต้องหยุด เพื่อรอคำสั่งของศาลว่าให้ดำเนินการอย่างไร แต่กรณีนี้เร่งรีบในการขายหุ้น เร่งรีบแย่งซิงในการเสนอคนของตนเองเข้าไปเป็นคณะทำงาน และคณะกรรมการในการตรวจสอบของรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง…ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเงื่อนงำที่ไม่นำไว้วางใจ
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) มื่นโยบายที่แจ่มชัดในการต่อต้านการแปรูปรัฐวิสาหกิจต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ มีองค์กรสมาชิกที่เป็นสหภาพแรงงานทั้งรัฐวิสาหกิจ เอกชนและลูกจ้างภาครัฐจำนวน 44 แห่ง และมีสาขาภูมิภาค 9 สาขาและศูนย์ประสานงาน สรส. ประจำจังหวัดเกือบทุกจังหวัด ได้สื่อสารและหารือกันเป็นระยะในสถานการณ์ที่ผ่านมา และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดและรัฐวิสาหกิจเป็นกำลังอันสำคัญในการเป็นเครื่องมือของรัฐบาล
แต่สำหรับเรื่องการบินไทยกับการตัดสินใจของฐบาลในครั้งนี้ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก สรส. จึงได้เชิญประธานสหภาพแรงงานองค์กรสมาชิกทุกแห่ง ที่ปรึกษา และ "คนการบินไทย" มาร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง แต่เป็นทิศทางเดียวกันคือ "ไม่ไว้วางใจต่อ กระบวนการในการฟื้นฟูของรัฐบาล" เพราะการฟื้นฟูนั้น ไม่ได้เริ่มที่การค้นหาความจริงและการทำความจริงให้ปรากฎ เพราะทราบกันดีว่าปัญหาที่แท้จริงของการลัมละลายของบริษัทการบินไทย สายการบินแห่งชาติ คือการทุจริต ของนักการเมืองและผู้บริหาร ทั้งทุจริตเชิงนโยบายและการบริหารงานในการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เช่นการจัดซื้อเครื่องบิน การเปลี่ยนเครื่องยนต์ การให้ผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสาร การตั้งบริษัทลูกเพื่อแข่งขันในสายการบินต้นทุนต่ำ เป็นตัน แต่สุดท้ายมาจบลงที่การลดเงินเดือน ใส่ร้ายพนักงานที่ตั้งใจทำงาน และยุสหภาพแรงงาน คือเงื่อนงำที่ไม่อาจไว้วางใจและยอมรับได้
ที่ประชุมจึงมืมติเป็นเอกฉันท์ที่จะต่อสู้ร่วมกันจนถึงที่สุด พื่อให้บริษัทการบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติ ที่เป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งช่ติต่อไป และได้มีการตั้ง "คณะทำงานฟื้นฟูการบินไทย"
โดยคณะทำงานประกอบด้วยประธานสหภาพแรงงานองค์กรสมาชิกของ สรส. และ "คนการบินไทย" ที่ยังมีจิตใจต่อสู้ โดยมีเลขาธิการ สรส. เป็นประธานคณะทำงาน และจะเชิญภาคี แนวร่วม พันธมิตร ทั้งที่เป็นองค์กรภาคประชาชน องค์การแรงงาน นักวิชาการ ที่ยังคงรัก หวงแหนการบินไทย สายการบินแห่งชาติ และวางจังหวะก้าวในการขับเคลื่อนคู่ขนานกับรัฐบาล
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO
ตู่ พวกสหภาพต่างหาก ที่ปล้นการบินไทย ปล้นภาษีของพวกเราไปตั้งกี่หมื่นล้าน อย่ามาอ้างนู่นนี่เลย สุดท้ายก็เพื่อประโยขน์ส่วนตนทั้งนั้น มีอย่างที่ไหน ขาดทุนสะสมเป็นหมื่นๆล้าน แต่เงินปันผล มีให้พนักงานยิ่งกว่าบริษัทที่กำไรปีละหมื่นล้านซะอีก แล้วเอาเงินใครไปปันผลให้ละ ทั้งๆที่ผลประกอบการขาดทุนทุกปี ก็เงินภาษีพวกผมไง หัดละอายใจกันบ้างนะ อายคนทั้งประเทศบ้าง ที่ต้องมาแบกพวกคุณ
28 พ.ค. 2563 เวลา 05.36 น.
Anchisa Laopa ผลประโยชน์ของคนการบินไทยล้วนๆนะคะมาอ้างคำว่า”สายการบินแห่งชาติ” แล้วพวกคุณคิดทำอะไรเพื่อชาติบ้างคะ สวัสดิการได้มากกว่ารัฐวิสาหกิจอื่น/รวมทุกข้อ แม้เกษียณพวกคุณยังได้อยู่แล้วจะเป็นรัฐวิสาหกิจทำไมคะ กลับมาเป็นข้าราชการดีกว่า ความรู้จบป.ตรีเท่ากันพวกคุณได้มากกว่าหน้าด้านแบ่งเป็นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง สารพัดจะเลี่ยงคัมภีร์นี่ยกระดับไปฟ้องต่างชาติ ทุเรศ
28 พ.ค. 2563 เวลา 05.30 น.
Mary Nicha ให้ล้มละลายไปก็สิ้นเรื่อง
28 พ.ค. 2563 เวลา 04.53 น.
ข่อยว่าเซ่าเห่า มันเหมิดเวลาเสวยสุขแล้ว เงินภาษีเอาไปอุ้มที่ผ่านมา โบนัสปีละท่อใด๋
28 พ.ค. 2563 เวลา 04.53 น.
chanchai ประชาชนคนจนได้อะไรจากการบินไทยบ้าง.ครับ
28 พ.ค. 2563 เวลา 04.51 น.
ดูทั้งหมด