บรรดาผู้บริโภคอาจจะมองว่าการถือครอง “ลิบรา” เงินดิจิทัลสกุลใหม่ของเฟซบุ๊ก เป็นทางเลือกสำหรับการเก็บเงินไว้ในธนาคาร และถ้าหากผู้บริโภคมองว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ลิบราก็อาจได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ถ้าชาวตะวันตกทุกคน ถือครองลิบราในจำนวนที่เทียบเท่ากับ 1 ใน 10 ของเงินที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารในทุกวันนี้ เงินดิจิทัลสกุลใหม่นี้ ก็อาจจะมีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ อันจะทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ภาคธนาคารควรจะกังวลกับเรื่องนี้หรือไม่
หากมองผ่านๆ ในครั้งแรก ลิบราก็จะเหมือนกับระบบธนาคารทั่วไป “ทุนสำรองลิบรา” (Libra Reserve) จะมีสินทรัพย์ปลอดภัย และมีสภาพคล่องมากพอที่จะคอยค้ำประกันเงินลิบราทุกเหรียญที่ออกมา อันเป็นการจัดการที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่ง เรียกขานมานานหลายสิบปีแล้วว่าเป็น “การธนาคารที่แคบลง” ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเข้ามาแทนที่ระบบทุนสำรองแบบแบ่งสินทรัพย์ออกเป็นหลากหลายประเภท และเงินฝากที่ธนาคารจะมีสินทรัพย์จดจำนอง และเงินกู้สภาพคล่องต่ำ หนุนหลังอยู่
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาให้ลึกซึ้งกว่าเดิม จะเห็นว่า การซื้อลิบราไม่ได้ทำให้ปริมาณเงินฝากในระบบธนาคารลดลง
ตัวอย่างเช่น ชาวอังกฤษใช้เงินฝากในบัญชีธนาคาร เพื่อซื้อลิบรา เขาอาจจะโอนเงินปอนด์เข้าไว้ใน Libra Reserve หรือผู้ขายรายอื่นๆ ที่อาจจะมีบัญชีเงินฝากธนาคารอยู่เช่นกัน เพื่อใช้รับการชำระเงิน ก็จะทำให้เงินฝากยังอยู่ในระบบบัญชีธนาคารเหมือนเดิม
ทั้งระบบธนาคารในยุคสมัยใหม่นี้ เงินฝากในบัญชีธนาคาร สามารถส่งผ่านไปยังบัญชีต่างๆ แปลงเป็นเงินสด หรือนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ธนาคาร หรือซื้อสินทรัพย์จากธนาคารได้ ทำให้เงินในบัญชีไม่สามารถที่จะหายไปเข้าไปในระบบนอกภาคธนาคารได้อย่างง่ายๆ
กระนั้นก็ตาม ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้ธนาคารสบายใจ วางตัวเฉยเมยได้
เหตุผลแรกก็คือ ลิบราสามารถทำให้ดุลบัญชีของธนาคารลดน้อยลงได้ หาก Libra Reserve ใช้เงินทุนของลูกค้าเข้าไปซื้อหลักทรัพย์ต่างๆ อย่างตราสารหนี้ภาครัฐจากธนาคาร
ประการที่ 2 คือ ลิบราอาจทำให้รายได้ของภาคธนาคาร จากการชำระเงินข้ามแดนลดลงไป เพราะเฟซบุ๊กต้องการที่จะให้เงินเสมือนจริงนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย
เหตุผลสุดท้ายคือ แม้เฟซบุ๊ก จะยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นธนาคารที่ให้บริการอย่างเต็มที่ แต่ความยั่วยวนใจในเรื่องนี้ย่อมสูงขึ้นอย่างแน่นอน หากลิบราเติบโตมากขึ้น ทั้งข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เฟซบุ๊กมีอยู่ ก็เพียงพอที่จะให้บริษัทคิดถึงเรื่องนี้ได้
นอกจากนี้ แม้ว่า Libra Reserve จะเป็นอิสระจากเฟซบุ๊กเป็นส่วนใหญ่ แต่ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียรายนี้ ก็มีแผนนำเสนอกระเป๋าเงินดิจิทัลของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า “คาลิบรา” สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเก็บเงินดิจิทัลของตัวเองให้ปลอดภัย และแน่นอนว่า สิ่งที่ต้องเก็บไปพร้อมๆ กันก็คือ ข้อมูลการเงินส่วนบุคคล
ที่มา: The Economist
ถ้ารัฐบาลจะเก็บภาษี 15%
facebook คงไม่ให้ความร่วมมือ
เพราะขัดเป้าหมาย เป็น currency หลักของโลก
28 มิ.ย. 2562 เวลา 06.18 น.
ถ้าใช้เงินสกุลนี้กันหมดรัฐจะเก็บภาษีไม่ได้
การบำรุงท้องที่จะเกิดจากการบริจาคของคนพื้นที่
ข้าราชการจะลดน้อยลง
ไม่ต้องมีธนาคาร
ไม่ต้องตู้ ATM
27 มิ.ย. 2562 เวลา 16.12 น.
มานพ มึงจะเอาอะไรมาเสนอก็เรื่องของมึง กูแก่แล้วเดี๋ยวกูก็ตาย
25 มิ.ย. 2562 เวลา 20.46 น.
ดูทั้งหมด