มีผู้อ่านหลายท่านสงสัยว่า จีนสร้างและพัฒนาคนของเขาอย่างไรจึงทำให้จีนเติบใหญ่ในหลายด้านได้อย่างรวดเร็ว แถมยังสามารถเผชิญกับความท้าทายของโลกที่ถาโถมเข้ามาได้เป็นอย่างดี
• ระบบการศึกษาพื้นฐานของจีน…ใหญ่สุดใจ
ระบบการศึกษาของจีนมีลักษณะโดยรวมที่คล้ายคลึงกับของไทย กล่าวคือ จีนมีกระทรวงศึกษาธิการและคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติทำหน้าที่ออกแบบและกำกับควบคุมระบบการศึกษาโดยรวม โดยมีหน่วยงานตัวแทนทำหน้าที่ช่วยกำกับและประเมินในแต่ละด้านในแต่ละภูมิภาค ทั้งนี้ นับแต่ปี 2529 รัฐบาลจีนได้กำหนดการศึกษาภาคบังคับไว้ที่ 9 ปี ว่าง่ายๆ เด็กจีนต้องเรียนจนถึงระดับมัธยมฯ ต้นเป็นอย่างน้อย ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจีนประกาศว่าเด็กจีนสามารถเข้าถึงระดับการศึกษาภาคบังคับที่รัฐจัดเตรียมไว้ให้ในสัดส่วนถึง 99% ของจำนวนเด็กจีนโดยรวม
ปัจจุบัน ระบบการศึกษาของจีนนับว่าใหญ่ที่สุดในโลก ในด้านงบประมาณ จีนจัดสรรเม็ดเงินราว 4% ของจีดีพี หรือประมาณ 10% ของงบประมาณโดยรวมให้แก่ด้านการศึกษา โดยมีสถาบันการศึกษากว่า 500,000 แห่ง จำแนกเป็นระดับประถมศึกษาอยู่ราว 450,000 แห่ง และระดับมัธยมศึกษา 80,000 แห่ง ระดับอุดมศึกษาอีกราว 1,000 แห่ง รวมทั้งด้านอาชีวะที่เพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน เกษตรกร และบุคลากรด้านการบริหารและเทคนิคอีกราว 8,000 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ จีนยังมีการศึกษาผู้ใหญ่ในอีกหลากหลายรูปแบบและระดับ
• ปัญหาและรากเหง้า…ถูกแก้ตรงจุด
ในอดีต จีนประสบปัญหาด้านการพัฒนาบุคลากรมากไม่แพ้ไทยเช่นกัน ในด้านหนึ่ง เนื่องจากสถาบันการศึกษาเกือบทั้งหมดเป็นของรัฐ และมีกฎระเบียบคุมเข้มมากมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา การขอเปิดหรือปรับปรุงหลักสูตรมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน ส่งผลให้สถาบันการศึกษาของจีนส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
ความท้าทายสำคัญในอีกด้านหนึ่ง ได้แก่ สภาพปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจของจีนและของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามเดินหน้าปฏิรูปภาคเศรษฐกิจ
และสังคม และพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ โดยมุ่งเน้นด้านนวัตกรรม การออกแบบ และการสร้างตราสินค้าดังปรากฏผ่านหลายนโยบายและโครงการ อาทิ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (One Belt One Road) Made in China 2025 และการพัฒนาชุมชนเมือง
ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจและตลาดยังต้องเผชิญกับแรงกดดันใหม่ในเวลาเดียวกัน อาทิ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย เทคโนโลยี และอินเตอร์เน็ต ปัจจัยเหล่านี้มีนัยความสำคัญหรือความท้าทายทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะหลัง ด้วยเงื่อนไขและสภาพการณ์เหล่านี้จึงส่งผลให้ตลาดแรงงานจีนต้องการบุคลากรที่มีความสามารถใหม่
• การแข่งขันที่เข้มข้น…กดดันจนเก่ง
สังคมจีนโดยรวมแฝงไว้ซึ่งแรงกดดันที่ค่อนข้างสูงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยจำนวนนักเรียนที่มากในแต่ละปี ระบบการเรียน การสอน และการสอบจึงมีความเข้มข้นสูง นักเรียนจีนทำการบ้านกันจนคํ่ามืด บ้างยังต้องไปเรียนพิเศษเฉพาะทางเพิ่มเติมอีก หากใครอยากสอบผ่านเพื่อเข้าสถาบันการศึกษาในระดับถัดไป ก็ต้องขยัน ทุ่มเท และจริงจังอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเข้าระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัย
จีนมีนักเรียนที่สนใจสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยหลายเหตุผล อาทิ เมื่อราว 20 ปีก่อน กระทรวงศึกษาธิการได้เปิดโอกาสให้นักเรียนที่จบระดับอาชีวะสามารถสมัครสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนยังประสบความสำเร็จในการผลักดันให้นักเรียนศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามากขึ้น โดยสามารถเพิ่มสัดส่วนจาก 1.4% ของทั้งหมดในปี 2521 ที่จีนเปิดประเทศสู่โลกภายนอกครั้งใหม่ เป็นถึงกว่า 20% ของทั้งหมดในปี 2561 ทำให้วันนี้จีนมีผู้สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จีนเรียกกันว่า “เกาเข่า” (Gaokao) ถึงเกือบ 10 ล้านคนในแต่ละปี
ด้วยการแข่งขันที่สุดเข้มข้นนี้เอง เราจึงอาจสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดและความวิตกกังวลในช่วงเข้าฤดูสอบแข่งขัน ความรู้สึกดังกล่าวไม่ได้อยู่เฉพาะกับตัวนักเรียน แต่ยังเลยไปถึงพ่อแม่และญาติพี่น้อง เราเห็นพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมากขอลาหยุดงาน หรือปิดร้านเพื่อให้มีเวลามากพอสำหรับการตระเตรียมและดูแลลูกหลานในการเข้าสู่สนามสอบ หลายรายถึงขนาดย้ายไปพักอาศัยใกล้ๆ สถานที่สอบในช่วงก่อนและขณะสอบเอ็นทรานซ์กันเลยก็มี
แรงกดดันยิ่งสูงมากขึ้นหากนักเรียนต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน อาทิ มหาวิทยาลัยชิงหวา (Tsinghua University) มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (Peking University) แห่งกรุงปักกิ่ง หรือมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University) มหาวิทยาลัยเจียวทง (Jiao Tong University) และสถาบันเต๋อต้าว (De Tao Institute) ในนครเซี่ยงไฮ้ และมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) ในเมืองหังโจว สถาบันการศึกษาเหล่านั้นต้องการคัดเอา “หัวกะทิ” ที่มีความพร้อม โดยกำหนดเงื่อนไขภาคบังคับเกี่ยวกับผลการศึกษาและคุณสมบัติอื่น เช่น ด้านภาษาต่างประเทศ ที่สูงกว่าปกติ
ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
เกี่ยวกับผู้เขียน :
ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน
หน้า 4 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3506 วันที่ 22-25 กันยายน 2562
@หนู@ ขายของให้ได้มากที่สุด รับผิดชอบให้น้อยที่สุด
21 ก.ย 2562 เวลา 08.04 น.
Bill สุรพล ประเทศไทย
มีนักการเมืองที่กร่าง
คนโกงกันเยอะ
คนโง่ มากกว่าคนฉลาด
คนอวดรวยเยอะ
จึงไม่เจริญ
21 ก.ย 2562 เวลา 06.49 น.
G7x เห็นแกตัวประเทศนี้ เอาแต่ได้ไม่ให้คนอื่นเลย
21 ก.ย 2562 เวลา 04.35 น.
จีนเก่งก๊อปปี้ที่หนึ่งของโลกครับ
มันสมองเก่งๆทางตะวันตกหลายคนจีนดูดมาครับ
ระบอบคอมมิวฯเอาอยู่ครับ
21 ก.ย 2562 เวลา 14.13 น.
ประกานสำคัญคนจีนไม่ได้บ้าการเมือง ทุกสิ่งอย่างมาจากควมมสงบของประเทศที่เกิดจากการบังคับใช้กฏหมายอย่่างจริงจัง ไม่ศรีฯ และคนเค้าไม่นั่งรอให้ใครป้อนใส่ปาก อยากเค้าศึกษาเริ่มที่บ้านที่้เข้มงวด เค้าสอนลูกให้รู้จักความยาก
21 ก.ย 2562 เวลา 11.22 น.
ดูทั้งหมด