พิชิต “อโหสิกรรม” 40 สว. ยื่นร้องคุณสมบัติ แต่ท้าดวลตัวต่อตัว ลั่น“นายกฯ” ไม่เกี่ยว รับ เก็บกดโหยหาความยุติธรรมหลังถูกตราหน้า ทนายถุงเงิน 2 ล้าน ยันมีคุณสมบัติครบมาด้วยสติปัญญา พร้อม“ลาออก” ถ้ายุติปัญหาได้ ประกาศตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ “นายกฯ” หลายคน
“พิชิต ชื่นบาน” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ 40 สว. ร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ “พิชิต” ว่า“เศรษฐา” ไม่ได้มีความผิดอะไร ไม่ได้ทำอะไรผิดแผกแตกต่าง จาก “นายกฯ” คนอื่นในอดีต มาเอาเรื่องท่านทำไม “เศรษฐา” ตั้งใจทำงาน พูดจากใจอยู่ตรงจุดนี้พูดไม่อายว่า ตนเป็นองครักษ์พิทักษ์ “นายกฯ” และ เคยเป็นองครักษ์พิทักษ์หลาน “นายกฯ” มาแล้ว จึงอยากให้เอาความจริงมาพูดกัน ไม่มีวาระซ่อนเร้นทาง“การเมือง”
“พิชิต” ยังระบุอีกว่า “นายกฯ” ทำตามกระบวนการทางกฎหมายและสุดท้ายก็จะมาสรุปว่าตกลงตั้งใครได้หรือไม่ได้ หากตั้งไม่ได้ก็ไม่ฝืนตั้ง ก็ต้องทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาล ถามว่าตนไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร ไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้นคนนี้ มาพร้อมสติปัญญามีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิด ทำชั่ว คงไม่มายืนตรงจุดนี้ พร้อมขอให้ “เศรษฐา” ได้ปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ที่ท่านแถลงไว้ต่อรัฐสภา
“ผมทำงานกับนายกรัฐมนตรีมา 6-7 เดือนไม่เคยประจบสอพลอ อยู่เนื้องาน และท่านก็ดูผม ก็พอรู้นิสัยใจคอว่าท่านเป็นคนตรงไปตรงมา แม้ท่านอยากจะตั้งตนแทบตาย แต่หากมีปัญหาก็ต้องไม่ได้ ต้องเอาหัวใจมาพูดกัน การตั้งคณะรัฐมนตรีในครั้งแรก ผมเคยถอนตัวไม่รับตำแหน่ง อยากให้บ้านเมืองเดินหน้า เมื่อฟอร์มรัฐบาลเรียบร้อยแล้วอยากใช้ผมทำงาน ก็ตั้งให้ผมเป็นรัฐมนตรี” พิชิต กล่าว
“พิชิต” ยังขอบคุณ 40 สว. และ ขออโหสิกรรมให้ พร้อมระบุขอบใจมากเพราะสิ่งที่ถูกกระทำ ตั้งแต่ปี 2551 โหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต ก่อนตัดสินใจเป็นรัฐมนตรีคิดแม้กระทั่งว่าหากไปอยู่ในสภาถูกตั้งกระทู้ธรรมถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะสามารถตอบคำถามได้ทุกคำถาม ตอบข้อสงสัยต่างๆ ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นการที่ตนได้มีโอกาส หลังถูกตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ควรเป็นกรณีศึกษา แต่ถูกศาลเดียวตัดสินแล้วจบเลย ทั้งที่รัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรมบัญญัติไว้ว่าศาลมี 3 ชั้น 3 เวลานักการเมืองมีปัญหาถูกพิจารณาคดี ต่อสู้คดีได้ 2 ชั้นศาล ย้ำว่าไม่ได้โกรธอะไร 40 สว.ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ให้โอกาส และมั่นใจว่าหลักนิติธรรมและความเป็นธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญมีตนไม่หวั่นไหว เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร แต่คำวินิจฉัยของศาลฎีกาไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ รอจังหวะยิงลูกนี้มานานแล้ว ถ้าศาลรัฐธรรมนูญได้ยึดหลักนิติธรรมพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีใหม่
“พิชิต” กล่าวว่าถือเป็นโอกาสในชีวิตของที่จะได้เริ่มต้นใหม่ ตอนนี้ไม่หวั่นไหวอะไร เพราะฉะนั้นประเด็นตามคำสั่งศาลฎีกา หากมีตรงไหนที่เขียนว่าตนเป็นคนที่หิ้วถุงเงิน 2 ล้านก็พร้อมลาออกวันนี้เลย ไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หลายคนว่ากล่าวติติงเป็นไอ้ทนายถุงเงิน 2 ล้าน พูดเหมือนคนไร้สติ ไม่มีเหตุไม่มีผล ประเทศเป็นระบบประมวลกฎหมายหากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ ย่อมไม่มีอำนาจ การไต่สวนวิธีพิจารณา เรื่องละเมิด อำนาจศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ในคดีอาญาก็ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก อะไรที่กฎหมายพิจารณาความอาญา ไม่บัญญัติไว้ ก็จะบอกให้เอาวิธีพิจารณาความแพ่ง ใช้บังคับโดยอนุโลม เช่นเดียวกัน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และอาญาไม่เคยบัญญัติ ว่า ให้เอาประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายสาระบัญญัติ มาใช้ในการพิจารณา พิพากษาคดี ถ้าหาแล้วมี ว่าให้เอามาตรา 83 มาใช้ ตนจะลาออกวันนี้เช่นกัน นี่คือความเก็บกด ที่ตนโหยหาความยุติธรรม
“พิชิต” ยังมองว่า เป็นวาระวงจรอุบาทว์ ท่านบริหารประเทศอยู่ดีๆ แล้วทำให้เกิดการกระทำอย่างนี้ ให้ผู้นำประเทศต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ด้วยวิธีการเช่นนี้ ตอนนี้เพื่อนอยู่ใน สว.ตนรู้รายละเอียดการกระทำจึงขอความเป็นธรรม พูดกันดีๆ ก่อนยื่น พฤติกรรมอย่างไรคนของใครทำอะไรตนไม่ขอพูด พร้อมขอบคุณนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ที่เอามาพูดเรื่องจริง และการมาเปิดใจในวันนี้ไม่กังวลอะไรสบายๆ
“ผมมาทำงานไม่ได้มาโกง เพราะฉะนั้นคำตอบแก้วงจรอุบาทว์ ถ้ามองว่าพิชิตลาออกแล้วทุกอย่างจบ ผมก็จะทำให้ ขอพูดต่อหน้าพระสยามเทวาธิราช ในองคาพยพกระบวนการยุติธรรม ให้ไปคิดมา โจทย์ที่เกิดวงจรอุบาทว์ นี่เป็นเกมการเมืองที่พยายามล้มนายเศรษฐา” พิชิต กล่าว
“พิชิต” กล่าวอีกว่า ให้มาดวลกับ“พิชิต” คนเดียว เอานักกฎหมายมา 3 คน และ 40 สว. แบบตัวต่อตัว ที่ลงชื่อไปอ่านคำสั่งศาลฎีกาแล้วหรือไม่ และ ไม่ขอก้าวล่วงไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของ 40 สว. แต่มีกระบวนการ เมื่อถามว่าเป็นกระบวนการ ต้องการ “ล้มนายกฯ” ใช่หรือไม่ ไม่ขอกล่าวหาแต่ข้อมูลเป็น เช่นนั้น