กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยขนมและของหวานไทย มีโอกาสเจาะกลุ่มคนรักสุขภาพในเยอรมนี ชี้เป้าขนมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ขนมที่ขายกลุ่มเฉพาะ มังสวิรัติ วีแกน ผู้แพ้แล็กโตส มีโอกาสสูง
วันที่ 16 พฤษภาคม 2566 นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ล่าสุดกรมได้รับข้อมูลจากนางสาวจีรนันท์ หิรัญญสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ถึงสถานการณ์สินค้าขนมและของหวานในตลาดเยอรมนี ปี 2022 แนวโน้มตลาดปี 2023 และโอกาสในสินค้าขนมและของหวานของไทยเข้าสู่ตลาดเยอรมนี
ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์ได้รายงานข้อมูลการบริโภคขนมของชาวเยอรมันในปี 2022 ที่ได้จากการผลิตในประเทศและนำเข้า มีจำนวน 2.7 ล้านตัน ลดลง 1.8% มียอดขาย 9,000 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 0.2% คิดเป็นสัดส่วน 7.8% ของยอดขายสินค้าอาหารในเยอรมนี มีการผลิตรวม 4 ล้านตัน เพิ่ม 2.8% มูลค่า 14,000 ล้านยูโร เพิ่ม 6.5%
โดยขนมและของหวานที่มียอดการผลิตสูงสุด ได้แก่ ช็อกโกแลต ขนมอบ ลูกอมและลูกกวาด ขนมขบเคี้ยว และส่งออก 2.5 ล้านตัน เพิ่ม 4% มูลค่า 10,300 ล้านยูโร เพิ่ม 11.5% โดยตลาดหลักคือ สหภาพยุโรป 70% ที่เหลือส่งออกไปสหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา อิสราเอล และตุรกี เป็นต้น
สำหรับพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยมีการบริโภคของหวานลดลง แต่ผู้บริโภคก็ยังเห็นว่าขนมและของหวานเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในช่วงเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ และยังให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม นิยมสินค้าเพื่อความยั่งยืน
ทำให้ผู้ผลิตมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ใช้วัตถุดิบ และปรับกระบวนการผลิตให้ได้รับการรับรองมาตรฐานแบบยั่งยืน เช่น น้ำมันปาล์มและโกโก้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตช็อกโกแลต และขนมหวาน ได้รับการรับรองมาตรฐานแล้ว 79% และ 94% ตามลำดับ
รวมทั้งมีการคิดค้นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจัยที่ส่งผลหลักต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคคือ รสชาติของสินค้า 88% ราคา 62% ยี่ห้อสินค้า 34% คุณค่าทางโภชนาการ 18% ความยั่งยืน 12%
นายภูสิตกล่าวอีกว่า จากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวเยอรมันที่เน้นการดูแลสุขภาพและรักษาสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ผู้ประกอบการจะนำมาขายในเยอรมนีควรเน้นส่วนผสมที่มีความเป็นธรรมชาติ เช่น กลิ่น สี และรสชาติ รวมถึงให้พลังงานต่ำ หรือปราศจากน้ำตาล ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่รักสุขภาพและต้องการควบคุมน้ำหนักหรือปริมาณน้ำตาลในเลือด
รวมทั้งผลิตภัณฑ์ขนมที่คำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มีเงื่อนไขในการรับประทานอื่น ๆ ด้วย เช่น กลุ่มผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติ วีแกน กลุ่มผู้แพ้แล็กโตส ผู้ป่วย โรคเบาหวาน สตรีมีครรภ์ กลุ่มเด็กเล็ก เป็นต้น ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญกับส่วนประกอบที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่นอกจากจะเสริมในด้านสีสันให้ชวนรับประทานแล้ว รสชาติก็ควรให้เป็นที่เข้ากันกับผลิตภัณฑ์เดิม เพื่อให้เกิดความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ส่วนการผลักดันการส่งออกของสินค้าไทยต่อไปในอนาคต ควรเป็นสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ มีการนำผัก และผลไม้นานาชนิดของไทย ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ อาทิ มะพร้าว สับปะรด มะม่วง เป็นต้น มาประยุกต์เป็นส่วนผสมและจุดขาย
อีกทั้งควรใช้ขั้นตอนกรรมวิธีในการผลิตที่ใส่ใจต่อสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างจุดแข็ง และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
โดยผู้ประกอบการควรศึกษาแนวโน้มตลาดเพื่อคิดค้น ต่อยอด ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ สินค้าวีแกน หรือสินค้าออร์แกนิก
นอกจากนี้ ควรระบุส่วนผสมบนฉลากสินค้าให้ชัดเจน เพื่อสร้างความแตกต่าง และเน้นที่จุดแข็งของผลิตภัณฑ์ และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ดูทันสมัยเข้ากับสินค้าประเภทนั้น น้ำหนักเบา ไม่แตกหักง่ายระหว่างการขนส่ง วิธีในการเก็บรักษาให้ยาวนาน การควบคุมรสชาติ และคุณภาพให้คงที่
ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีมาตรฐานในกระบวนการผลิต และการขอใบรับรองจากหน่วยงานที่เป็นสากล อาทิ Organic, Vegan, Fair Trade เป็นต้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันให้กับสินค้าไทยในตลาดเยอรมนีและยุโรป รวมถึงตลาดโลกได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพื่อขยายตลาด และเพิ่มโอกาสในการพบผู้นำเข้าจากประเทศเยอรมนี รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในแถบทวีปยุโรป โดยงานแสดงสินค้าที่น่าสนใจ ได้แก่ งานแสดงสินค้า ISM (International Süßwarenmesse) เป็นงานแสดงสินค้าประเภทขนมหวาน และของว่างที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ เมืองโคโลญ และงานแสดงสินค้า ANUGA งานแสดงสินค้าอาหารที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี ณ เมืองโคโลญ