มีสำนวนไทยเช่น ‘ผีซ้ำด้ำพลอย’, ‘เคราะห์ซ้ำกรรมซัด’ หรือ ‘ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก’
สำนวนเหล่านี้ความหมายเหมือนๆ กัน ประมาณว่าปัญหาเกี่ยวกับเรื่องวัวหนักหัวอยู่แล้ว และยังแก้ไม่ตก ดันเจอปัญหาเกี่ยวกับเรื่องควายเพิ่มเติมเข้ามา ให้มันหนักอกซ้ำเข้าไปอีก
แล้วสำนวนเหล่านี้ก็มีอยู่ทุกชาติทุกภาษา นักประพันธ์บางคนถึงกับเอาไปแต่งเป็นนิยาย เช่น A Series of Unfortunate Events ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เคยมีประสบการณ์ ‘ดวงตก’ เจอเรื่องร้ายเรียงคิวรัวๆ คนทั่วโลกเขาก็มีประสบการณ์ทำนองนี้กันทั้งนั้นแหละ
บางคนไม่อยากเชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่พอเจอเรื่องหนักๆ จนเข่าทรุดก็ออกท่าแหงนหน้า ตัดพ้อฟ้าดิน ภูตผี เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันก็คราวนี้เอง
คือความรู้สึกคนเรานั้นนะครับ ปักใจเชื่ออะไรด้วยอารมณ์เพี้ยนๆ ก็จะหาทางเพี้ยนไปให้สุด เช่น พอชีวิตเหมือนถูกกลั่นแกล้งชัดๆ ถ้าหันไปหาแพะที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ด้วยกันไม่ได้ ยังไงก็ต้องหาแพะหน้าตาเหมือนภูตผีเทวดากันจนได้สิน่า
เมื่อรู้สึกแย่ ในหัวยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยเรื่องไม่ดีนานา แทนการด่าว่าฟ้าดิน ลองตั้งโจทย์เอากับใจตัวเองว่า สิ่งที่แย่ มันเป็นเรื่องจริงๆ ข้างนอก หรือเป็นความรู้สึกนึกคิดอยู่ข้างใน?
โจทย์ที่เหมือนรู้ๆ อยู่ ถ้าจิ้มสมองคุณในจังหวะเหมาะ ความอัดอั้นตันใจก็แตกโป๊ะออกมาได้ กลายเป็นความรู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นมาแทน
เหมือนเช่นถ้าคุณตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ ชัดๆ จนเห็นภาพตัวเองออกมาจากอีกมุมมองหนึ่ง กระจ่างใจว่าสิ่งที่แย่จริงๆ คือ ใจที่บุบบิบบู้บี้ของตัวเอง
หาใช่โลกทั้งใบที่คุณนึกว่าถูกทุบใกล้พังตามคุณไปด้วย โลกทั้งใบยังคงเป็นอยู่ปกติของมันอย่างนั้น เหมือนก่อนที่ใจคุณจะมืดบอดลงนั่นแหละ
ตอนที่ในอกในใจของคุณแห้งเหือดจากน้ำเลี้ยง อยากก้มหน้าด้วยความรู้สึกหมดใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ลองสังเกตสักนิดว่ากำลังอยู่ในท่าไหน แล้วถามตัวเองว่า ร่างกายในท่านั้น มันคือความเดือดร้อน หรือว่าใจที่อยู่ในร่างนั้น มันเดือดมันร้อน ดิ้นพล่านอยู่ในกระทะร้อนภายใน
พอแยกออกว่ากายมันอยู่ดีๆ ของมันตามเดิม มีแต่ใจที่เดือดร้อนหรือเซื่องซึม คุณจะเริ่มเข้าถึงชีวิตในอีกมุมมองหนึ่ง เหมือน ‘ตาสว่าง’ ขึ้นมาชั่วขณะ
บ้านเรือนภายนอกไม่ได้เป็นทุกข์ ร่างกายก็ไม่ได้เป็นทุกข์ มีแต่ใจเท่านั้นที่เป็นทุกข์ และจริงๆ แล้วใจไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้
ใจดีขึ้นทันทีที่มีสติเห็นตัวเอง รู้ว่าตัวเองบุบบิบบู้บี้อยู่คนเดียว อะไรอย่างอื่นไม่ได้บุบบิบบู้บี้ไปด้วยเลย
ขาดสติ ชีวิตก็ปรากฏคล้ายฝัน เหมือนไม่มีอะไรจริงสักอย่าง ล่องลอย เลื่อนเปื้อนอยู่อย่างนั้นชั่วนาตาปีไม่มีเปลี่ยน
ต่อเมื่อเกิดสติ ชีวิตก็ปรากฏเป็นความจริง ไม่ใช่ฝัน ความจริงคือ อะไรๆ ข้างในกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หายใจยาวก็เป็นสุข หายใจสั้นก็พร้อมจะเป็นทุกข์
ข้างในเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเดี๋ยวอะไรๆ ข้างนอกก็จะเปลี่ยนตาม
บอกตัวเองซ้ำๆว่า ที่คุณรู้สึกแย่ จริงๆ แล้วไม่ต้องรู้สึกแย่ก็ได้ แค่หายใจยาวๆ ช้าๆ แบบที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเป็นครั้งๆ คุณก็พบความจริงนี้ด้วยตัวเองได้แล้ว…
เดี๋ยวนี้เลย!
อนัตตา ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุปัจจัย กรรมย่อมมีกาลเวลาส่งผล แล้วกรรมดีกรรมชั่วจะส่งผลเวลาไหนก็ไม่สามารถรู้ได้ อย่าประมาทกิเลส จงทำแต่กรรมดีไว้เนืองๆ
23 ธ.ค. 2561 เวลา 11.39 น.
@... ผมคิดว่าในสิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจจะเป็นเพราะความคิดในตัวของเราเองได้เหมือนกันนะครับ.
23 ธ.ค. 2561 เวลา 11.39 น.
oh!!naka ขอบคุณสำหรับบทความนี้ค่ะ จะพยายามสู่ต่อไปนะค่ะ
24 ธ.ค. 2561 เวลา 10.40 น.
nanoi สิ่งต่างๆๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ใจนี่แหละไปรับรู้ แล้วไปปรุงดีปรุงชั่ว ถ้าใจไม่ไปปรุงเสียอย่างเดียว เราก็สบาย....
23 ธ.ค. 2561 เวลา 12.06 น.
Ampชนะเลิศการไฟฟ้า ส่วนตัว ชอบอ่านบทความของคุณดังตฤณมาก ให้ข้อคิดหลายอย่าง
25 ธ.ค. 2561 เวลา 11.21 น.
ดูทั้งหมด