อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาเปิดทางให้การศึกษาและเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ในช่วงชีวิตของเขา ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ชื่อเสียงของเขาโด่งดังใกล้เคียงกับคำว่าอัจฉริยะ คำเชิญให้เดินทางไปบรรยายทฤษฎีสุดมหัศจรรย์ของเขาถูกส่งมาจากทั่วโลก รวมไปถึงประเทศห่างไกลที่เริ่มสนใจงานฟิสิกส์วิทยาศาสตร์อย่างประเทศญี่ปุ่น
ไอน์สไตน์เป็นเจ้าของผลงานระดับท็อปมากมาย นำไปสู่ข้อสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ชายธรรมดาสามารถเป็นเจ้าของความคิดมากมายได้ขนาดนั้น? นั่นนำไปสู่คดีแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นหลังอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เสียชีวิต สมองของเขาถูกขโมยออกไปจากโรงพยาบาลโดยนักพยาธิวิทยาซึ่งเชื่อว่าความลับของไอน์สไตน์สามารถไขได้จากการศึกษาสมองของเขา
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เสียชีวิตในวันที่ 18 เมษายน 1955 ที่โรงพยาบาลพรินซ์ตัน ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ก่อนตาย เขาไม่ต้องการให้ร่างกายของเขา ไม่ว่าส่วนไหน ถูกเก็บไว้ศึกษา ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเขาเองนั้นกลัวว่าร่างของเขาจะถูกนำไปบูชาเหมือนดั่งร่างของผู้บุคคลสำคัญท่านอื่นในโลก “ไอน์สไตน์ทิ้งคำสั่งเฉพาะเกี่ยวกับร่างของเขาหลังเสียชีวิต คำสั่งของเขาคือการเผาแล้วนำเถ้าไปโปรยอย่างลับๆ” - Brian Burrell อาจารย์ประจำคณะคณะคณิตศาสตร์มหาวิทยาลัย Massachusetts Amherst กล่าวไว้ในหนังสือของเขาเมื่อปี 2006 “Postcards from the Brain Museum”
แม้จะมีคำสั่งไว้เด็ดขาด แต่สมองของไอน์สไตน์ก็ถูกขโมยไปหลังเจ้าตัวเสียชีวิต ผู้ดำเนินการอุกอาจในครั้งนี้คือ โทมัส ฮาร์วีย์ ผู้ชำนาญด้านพยาธิวิทยาของโรงพยาบาล ตัวเขานำสมองของไอน์สไตน์ออกไป โดยไม่ได้รับคำยินยอมจากเจ้าของร่างหรือครอบครัว “เมื่อความแตกในอีกไม่กี่วันต่อมา ฮาร์วีย์พยายามโน้มน้าวฮันส์ ไอน์สไตน์ ลูกชายของนักวิทยาศาสตร์ผู้ล่วงลับว่า การนำสมองของพ่อเขาไป เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นการศึกษาที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ จะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของวงการวิทยาศาสตร์โลกเท่านั้น” คำขอของเขาได้รับการอนุมัติจากฮานส์ในภายหลัง
ฮาร์วีย์ถูกไล่ออกจากโรงพบาบาลเพราะการกระทำอุกอาจในครั้งนี้ เขานำสมองของไอน์สไตน์ย้ายไปกับเขาที่ฟิลาเดเฟีย ตัดแบ่งชิ้นสมองออกเป็น 240 บล็อก ซึ่งสามารถนำไปแบ่งได้เป็น 1000 สไลด์ ส่งมันไปยังห้องแล็บวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เขายังนำส่วนของสมองที่เหลือมาเก็บไว้ในขวดโหล แช่เอาไว้ในใต้ถุนบ้าน Brian Burrell กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ในหนังสือว่า
“ภรรยาของเขาไม่พอใจเรื่องการเก็บสมองเป็นอย่างมาก เธอขู่ว่าจะนำสมองไปทำลายทิ้งเสีย ทำให้ฮาร์วีย์ตัดสินใจนำสมองไปทำงานด้วย ตอนนั้นฮาร์วีย์ได้งานใหม่เป็นหัวหน้าแล็บปฎิบัติการทางชีววิทยาในเมืองวิชิตา รัฐแคนซัส เขาเก็บสมองไว้ในกล่องเครื่องดื่มไซเดอร์ (เครื่องดื่มชนิดหนึ่งทำจากแอปเปิ้ลโดยใช้กรรมวิธีหมักบ่ม คล้ายเบียร์และไวน์) แล้วแช่ไว้ในตู้แช่เบียร์ในออฟฟิศ เขาแอบศึกษาสมองของไอน์สไตน์นอกเวลางาน กระทั่งเสียใบประกอบวิชาชีพไปเพราะสอบวัดความสามารถไม่ผ่าน เขาย้ายไปทำงานในธุรกิจเกี่ยวกับพลาสติกในรัฐแคนซัส และยังทำการศึกษาสมองของไอน์สไตน์ต่อไป”
ฮาร์วีย์ กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ตีพิมพ์บทความการค้นพบเกี่ยวกับสมองของไอน์สไตน์เป็นครั้งแรกในปี 1985 - สามสิบปีหลังสมองถูกนำออกจากร่าง เขาอ้างว่าสมองของไอน์สไตน์มีส่วนประกอบที่ผิดปกติของเซล์ลสองประเภทคือ เซลล์ประสาท (neurons cell) และ เซลล์เกลีย (glia cell) รายงานหลังจากนั้นถูกตีพิมพ์ตามมาอีกเรื่อยๆ ฮาร์วีย์และเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ของเขาเชื่อว่างานวิจัยเหล่านี้สามารถไขความลับเรื่องความฉลาดของมนุษย์โดยเชื่อมโยงเข้ากับระบบประสาทภายในสมอง เขากล่าวว่าไอน์สไตน์นั้นมีอัตราส่วนของ Neuron cell และ Glia cell ที่น้อยกว่าคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายความว่าความฉลาดของมนุษย์นั้นอาจขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ทั้งสองในสมอง งานศึกษาของเขาถูกโจมตีจากนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก พวกเขาไม่เชื่อว่าสมองของไอน์สไตน์ถูกเก็บในภาวะที่ดีพอ และการแช่สมองไว้นานหลายสิบปีอาจมีผลให้เซลล์ดังกล่าวลดจำนวนลง
ฮาร์วีย์ ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับสมองของไอน์สไตน์อีกหลายครั้ง เขายังกล่าวว่าสมองของไอน์สไตน์นั้นมีขนาดเล็กกว่าสมองของผู้ชายทั่วไป และที่สำคัญ มันไม่เสื่อมสภาพลงตามอายุ การตีพิมพ์บทความเรื่องสมองในแต่ละครั้ง นำไปสู่ข้อถกเถียงมากมายในวงการวิทยาศาสตร์ หลายท่านไม่เชื่อว่าการค้นพบสิ่งแปลกไปในสมองของไอน์สไตน์จะสามารถแปลความได้ว่าสิ่งนั้นคือปัจจัยของความฉลาด
ปัจจุบันสมองของไอน์สไตน์ได้ถูกบริจาคกลับไปให้โรงพยาบาลพรินซ์ตัน ฮาร์วีย์เสียชีวิตในปี 2007 ทิ้งปริศนาที่ยังไขไม่ได้ให้วงการวิทยาศาสตร์ สไลด์สมอง 1,000 ชิ้น ถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทั่วโลกและบางส่วนยังถูกนำมาศึกษาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าการกระทำของฮาร์วีย์จะไม่ถูกหลักจริยธรรมอย่างร้ายกาจ แต่เราก็หวังว่าการศึกษาของเขาจะไม่สูญเปล่า และหากเทคโนโลยีก้าวหน้ามากพอ มนุษยชาติอาจสามารถไขความลับความฉลาดของอัจริยะอันดับหนึ่งได้ในสักวัน
.
ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์
.
อ้างอิง
NA เข้าใจว่าอยากศึกษา
แต่ไม่ใ้ห้เกียรติคำสั่งเสียของผู้ตายเลย
14 ต.ค. 2563 เวลา 06.15 น.
Songsri T. อ่านตั่งนานสรุปไม่รู้ว่าสมองของเขาเป็นอย่างไร มีความเกี่ยวข้องกับความมีอัจฉริยะหรือไม่ ไม่รู้ แค่รู้ว่าเอาสมองมาเก็บไว้ มันบ้า
16 ต.ค. 2563 เวลา 21.27 น.
Dr.Yongyoot เห็นแต่ภายนอก
17 ต.ค. 2563 เวลา 10.09 น.
Prinya+++++... อยากให้ศึกษาสมองผู้นำประเทศบางประเทศแถวนี้บ้างจัง
14 ต.ค. 2563 เวลา 10.22 น.
Season Change™ สมัยนี้เค้าTC scan และใช้ DNA ไม่ต้องผ่าซ้ำไปๆมาๆ
17 ต.ค. 2563 เวลา 10.39 น.
ดูทั้งหมด