สงครามการค้า ส่อแววยืดเยื้อ ลากยาวประเทศมหาอำนาจต่างแย่งชิงการเป็น อภิมาอำนาจบนโลกใบนี้ ทำสงครามกันจริงๆ ไม่ได้ก็ทำสงครามการค้ากันนี่แหละ แต่ที่กำลังเป็นประเด็นของโลกใบนี้คือ ประเทศพี่ใหญ่อย่าง สหรัฐฯ และ น้องใหม่ที่กำลังมาแรง คือจีนนั่นเอง บรรดาเหล่านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า อีกไม่กี่ปีข้างหน้า จีนจะขึ้นแทนที่สหรัฐฯ ทุกอย่างทำให้ สหรัฐฯ เองไม่ได้นึ่งนอนใจ ก็ได้หาหนทาง สกัดกั้นจีนทุกอย่าง
ไทยได้หรือเสีย
ถ้าใครตามข่าวหรือติดตามสงครามการค้าอยู่ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทของประเทศไทย มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ พราะ ไร … เพราะว่าบรรดาเหล่า บริษัท เทคโนโลยีชั้นนำของโลก ต่างก็มีฐานการผลิต อยู่ในประเทศจีนส่วนใหญ่ เนื่องจากค่าแรงที่ถูก และระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย เพราะทางรัฐบาลจีนหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้ลงทุนฟื้นฟูประเทศอย่างครั้งใหญ่เพื่อที่ให้ทันสมัยกับชาติตะวันตกผลที่ได้คือประสบความสำเร็จ ทำให้บรรดาเหล่าบริษัทน้อยใหญ่ต่างมาใช้ที่นี่เป็นฐานการผลิต แต่ในเมื่อ นโยบายของ สหรัฐฯ ของ ประธานนาธิบดี ดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ที่รื้อ นโยบายเศรษฐกิจต่างประเทศใหม่ ทำให้บริษัทจีนที่ไปลงทุนในประเทศ สหรัฐฯ ที่ไม่เคยเสียภาษี ก็ต้อง ถูกเก็บภาษี จีนเองก็ตอบโต้ บริษัทของ สหรัฐฯ ที่ไปตั้งที่ประเทศจีน ต้องโดนภาษีเหมือนกัน บรรดาเหล่าบริษัทเหล่านี้จึงมองหาฐานการผลิตประเทศใหม่ๆ ที่มองว่ายังคุ้มค่าต่อการทำธุรกิจ
"ประเทศไทยคือหนึ่งในนั้น ที่บรรดา บริษัทที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจะย้ายมาประเทศไทยเนื่องจาก"
1.ไทยเป็นประเทศที่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง 2.ความรู้ความสามารถของแรงงานประเทศไทยและทักษะ 3.ไทยเป็นศูนย์กลางของ ภูมิภาค อาเซียน ล่าสุดที่เห็นได้ชัดคือมีการนำเงินมาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเห็นได้ชัดจากค่าเงินบาที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในรอบ 6 ปีล่าสุดแตะ 30.32 บาท
ผู้ส่งออกต้องปรับตัว ควรบริหารความเสี่ยงจากค่าเงินให้มากขึ้นเนื่องจาก สงครามการค้าส่อแววลากยาว และเงินจะเข้ามาลงทุนทางตรงใน บรรดาเหล่าตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
ทางด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยเดือน ก.ย. อยู่ที่ 72.2 ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 เงินบาทที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 6 ปีและทิ้งห่างเพื่อนบ้านมากเพราะเราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และถูกมองเป็น safe haven ในภูมิภาค
ทางด้านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า
World Bank ปรับประมาณการณ์ GDP ไทยลงสำหรับปี 62 เหลือขยายตัว 2.7%YoY จาก 3.5%YoY และสำหรับปี 63 เหลือขยายตัว 2.9%YoY จาก 3.6%YoY
การปรับประมาณการณ์ GDP ไทยลงในครั้งนี้เนื่องจากการส่งออกที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 62, การประสบปัญหาภัยแล้งที่รุนแรง, การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ต่ำ สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาในเกือน ส.ค. 62 อาจไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา : FinansiaResearch,ScbsResearch
stock2morrow
ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่
