โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Try This! แค่ทำตามนี้...นั่งรถนานแค่ไหนก็ไม่ 'ปวดเมื่อย'

Health Addict

อัพเดต 31 ม.ค. 2563 เวลา 03.33 น. • เผยแพร่ 27 ม.ค. 2563 เวลา 13.22 น. • Health Addict
'การนั่งในรถนานๆ' คือกิจวัตรประจำวันที่เลี่ยงไม่ได้  แต่จะทำยังไงให้นั่งแล้วไม่ปวด ไม่เมื่อย ไม่เกร็ง คุณก็อาจจะต้องเลี่ยงมันด้วยวิธีนี้แหละ!
'การนั่งในรถนานๆ' คือกิจวัตรประจำวันที่เลี่ยงไม่ได้ แต่จะทำยังไงให้นั่งแล้วไม่ปวด ไม่เมื่อย ไม่เกร็ง คุณก็อาจจะต้องเลี่ยงมันด้วยวิธีนี้แหละ!

ไม่ต้องเดินทางไกลถึงต่างจังหวัด…แค่นั่งในรถไปทำงานใน Bangkok City ก็เป็นเหตุให้ปวดเมื่อยจนต้องเข้าหานักกายภาพกันได้แล้วหล่ะ!
ทุกวัน คุณต้องใช้เวลาบนท้องถนนไปกับการจราจรที่ติดขัดเป็นชั่วโมง นานพอที่จะเกิดอาการปวดเมื่อยตาม คอ บ่า หลังและสะโพกได้ ถูกมั้ย? 
คุณหมอ Ginger Edgecombe Dorsey จาก The USDA Animal and Plant Health Inspection Service (APHIS) บอกไว้ว่า การนั่งที่ผิดท่าเป็นระยะเวลานานแบบนี้ สามารถทำให้คนขับรถหรือคนนั่งเกิดความปวดเมื่อยตามสรีระของร่างกาย และมันก็นำไปสู่อาการปวดที่เรื้อรัง ง่ายต่อการบาดเจ็บอีกด้วย 
และไม่ใช่แค่คุณหมอที่ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มีงานวิจัยจากสำนักพิมพ์ Atlantis Press อธิบายว่าการนั่งที่ผิดแบบแผน เช่น โน้มไปข้างหน้าผิดองศาสามารถเพิ่มเลเวลความเจ็บปวดสู่ระดับขั้นรุนแรงได้เมื่อประสบอุบัติเหตุ
 
เพราะแบบนี้ เราเลยเฟ้นหาวิธี How to sit and save the body สำหรับคุณคนขับและคนนั่ง เพื่อบอดี้ของคุณทั้งคู่จะได้แฮปปี้ระหว่างการนั่งนานๆ ยังไงหล่ะ 
7 เวย์สำหรับ 'Driver' เลี่ยงเมื่อยแบบไหน 'ถึงจะรอด' 
#1 อย่าลืม Back Support 
ถ้าเป็นคนขับ วิธีการนั่งที่ถูกต้องคือขยับบริเวณก้นกบให้ชิดกับพนักพิงมากที่สุด หากไม่สามารถทำได้ให้หาตัวช่วยหนุนหลังอย่าง back supportมา เพื่อให้บริเวณก้นกบได้มีที่รองรับตามสรีระอย่างสมดุลและเหมาะสม ส่วนบริเวณเข่า ให้ขยับออกมาจากด้านหน้า โดยเว้นระยะไว้ประมาณ 3 นิ้วมือต่อกัน     
#2 เมคชัวร์ว่า "สะโพกสูงกว่าเข่า"
จากที่เข่ากับต้นขาคุณอยู่ในระดับเดียวกัน ให้ปรับเบาะนั่งยังไงก็ได้ให้เข่าของคุณอยู่ต่ำกว่าบริเวณสะโพกซักเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ระบบการหมุนเวียนเลือดนั้นดีขึ้น  
#3  การมองเห็นต้อง "Clear"
ต้องแน่ใจว่าระดับความสูงในการนั่งของคุณอยู่ในระดับสายตาที่เหมาะสม โดยระดับสายตาคุณต้องอยู่สูงกว่าพวงมาลัยประมาณ 3 นิ้ว อย่าลืมเว้นช่องว่างระหว่างศีรษะและเพดานรถให้พอดี
#4 เอนที่นั่งได้ "แต่อย่าเยอะ"
องศาในการนั่งไม่ควรตั้งฉากเป๊ะ! คุณต้องเอียงที่นั่งเล็กน้อย แต่อย่ามากเกินไปจนต้องเอี้ยวศรีษะและคอมาข้างหน้า เพราะจะทำให้ปวดไหล่และคอได้ 

Photo Credit : Geico.com

#5 เซ็ต "Headrest" ให้พอดีเสมอ
ปรับที่พิงศีรษะให้ตัวที่พิงอยู่ระหว่างบริเวณขอบบนสุดของศรีษะและขอบบนสุดของใบหู หรือง่ายๆ คือให้มันอยู่เหนือบริเวณใบหูขึ้นไปนั่นเอง 
#6 กระจก "มีไว้ปรับ" ห้ามลืม!
อย่าลืมปรับเด็ดขาด หากคุณต้องชะโงกศรีษะขึ้นทุกครั้งหรือต้องคอยหันขวา-ซ้ายเหมือนขับมอเตอร์ไซต์ บ่อยครั้งเข้า นี่จะทำให้เกิดการตึงที่บริเวณคอและทำให้หลุดโฟกัสจนเกิดอุบัติเหตุได้ ทางที่ดีคุณต้องปรับให้กระจกมองหลังและมองข้างโชว์ทัศนียภาพให้เห็นการจราจรและรถที่กำลังมาจากทางด้านข้างได้อย่างชัดเจนโดยไม่ทำให้คุณต้องหันศรีษะไปมาอีก  
#7 Take Break ทุกสองชั่วโมง
ขับมาซัก 2 ชั่วโมง คุณก็ต้องพักร่างกายได้แล้ว จริงๆ การพักเบรคมันคล้ายกับการนั่งทำงานบนโต๊ะนี่แหละ การเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ทุกๆ 2ชม.จะช่วยผ่อนคลายร่างกาย รวมไปถึงทำให้คุณได้พักสายตาจากความล้า อย่าลืมดื่มน้ำ ล้างหน้า ยืดขาและตัวเพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือไม่ก็งีบซักหน่อยจะได้มีพลังขับต่อ แถมร่างกายก็จะไม่ปวดเมื่อยอีกด้วย 
 …แล้ว "Sitter" ควรนั่งแบบไหนดี? 
สำหรับคนที่นั่งหน้าคู่กับคนขับ วิธีการปรับเบาะนั่งก็ไม่ต่างกัน ส่วนคนนั่งหลังนั้น สิ่งที่คุณต้องมีคือหมอนรองคอเพื่อล็อกไม่ให้ศรีษะเคลื่อนไหวขณะงีบหลับ   และถ้าอยากให้เลือดหมุนเวียนดี ก็ให้คุณผ่อนคลายเท้าด้วยการหมุนข้อเท้าไปมาหรือจิกปลายเท้า ขยับเปลี่ยนท่าทางเมื่อรู้สึกเมื่อย ยืดขา เหยียดและบิดตัวซ้าย-ขวาเพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกๆ สองชม. หรือเมื่อรู้สึกอึดอัด 

เอาหล่ะ! หวังว่าปัญหานี้จะไม่สร้างปัญหาสุขภาพให้กับคุณอีก หากต้องการหลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ ในรถ คุณต้องเผื่อเวลาการเดินทางไปในที่ต่างๆ เพื่อเลี่ยงรถติด และที่สำคัญอย่าลืมพักเบรคในสถานที่ที่ปลอดภัยทุกๆ 1-2 ชั่วโมงกันด้วย จะได้ยืดเส้นยืดสาย เพียงเท่านี้ ความปวดเมื่อยตามร่างกายจากการนั่งนานๆ ก็ไม่มาทักทายคุณแล้ว 
 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0