แม้รัฐบาลจะประกาศล็อกดาวน์ 14 วัน และเคอร์ฟิวในพื้นที่ 10 จังหวัดสีแดงเข้ม แต่จำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่ยังอยู่ในระดับ 8,000 รายต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าทางออกที่สามารถบรรเทาความรุนแรงจากการระบาดของ Covid-19 ได้นั้น ไม่ใช่การล็อกดาวน์ แต่เป็นการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาเป็นวัคซีนหลักเพื่อฉีดให้กับประชาชน
ปัจจุบันวัคซีนหลักที่ประชาและบุคลากรทางการแพทย์ได้ฉีด คือ วัคซีนซิโนแวค และที่ผ่านมารัฐบาลได้สั่งซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกาเข้ามาเพิ่มเติม แต่ก็ไม่เพียงพอ ทำให้ระยะเวลาการฉีดเข็ม 2 ของประชาชนบางส่วนต้องเลื่อนออกไป ขณะเดียวกันโรงพยาบาลเอกชนได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนแจ้งความต้องการฉีดวัคซีนทางเลือกอย่างโมเดอร์นา ซึ่งคาดว่าวัคซีนจะถึงไทยในไตรมาส 4/63 แต่ที่ผ่านมาการดำเนินการล่าช้า ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่าวัคซีนจะถึงไทยล่าช่ากว่ากำหนด ซึ่งทำให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนล่าช้าออกไปเช่นกัน จนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง
โดยบุคคลที่ปลุกกระแสเรื่องวัคซีนทางเลือกและทำให้ขั้นตอนการดำเนินการซื้อคืบหน้า คือ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG หนึ่งในเครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศไทย ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นเรื่องวัคซีนว่า บริษัทได้ตรวจสอบไปยังไฟเซอร์และโมเดอร์นา พบว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญาทั้งวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ในขณะที่ประเทศในเอเชียได้รับวัคซีนเกือบทุกประเทศแล้ว เหลือแค่ประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่ต้องการความชัดเจนจากรัฐบาล คือ คำตอบว่าทำไมการสั่งซื้อวัคซีน mRNA ถึงล่าช้า รัฐบาลรอวัคซีนเพียงชนิดเดียว คือ แอสตราเซเนกา แต่เมื่อแอสตราเซเนกาผลิตไม่ทัน ก็เลือกซื้อวัคซีนซิโนแวคเข้ามาแทน ซึ่งต้องยอมรับว่าคถณภาพไม่สามารถเทียบวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ mRNA ได้
หลังจากความเห็นของ “หมอบุญ”ถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ขั้นตอนการดำเนินการซื้อวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นามีความคืบหน้ามากขึ้น โดยล่าสุด หมอบุญ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ว่า จะสั่งซื้อวัคซีนอีก 2 ยี่ห้อ คือ ไบออนเทค ของเยอรมัน ซึ่งเป็นชนิด mRNA ตัวเดียวกับไฟเซอร์ และโนวาแวกซ์ของอเมริกา โดยจำนวนวัคซีนที่จะนำเข้ามาประมาณ 20 ล้านโดส และหวังว่าจะเข้าไทยได้ภายในเดือนก.ค. นี้
ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดความหวังว่า ประชาชนจะมีวัคซีนทางเลือกที่สามารถป้องกัน Covid-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องรอติดตามข่าวความคืบหน้าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การนำเข้าวัคซีนทางเลือกไม่ว่าจะเป็นโมเดอร์นา ไบออนเทค และโนวาแวกซ์ ย่อมส่งผลดีต่อผลประกอบการของ THG ในอนาคตอย่างแน่นอน
ไตรมาส 2/64 ขาดทุนลดลง
สำหรับแนวโน้มผลประกอบไตรมาส 2/64 ของ THG นักวิเคราะห์จากบล.เคทีบีเอสที ระบุว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 2/64 ของ THG จะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 และไตรมาส 1/64โดยจะเห็นการขาดทุนที่ลดลงจาก 1.การปรับโรงพยาบาลบำรุงเมือง เป็นโรงพยาบาลที่เน้นรักษาผู้ป่วย Covid-19 เพื่อชดเชยรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติอย่างตะวันออกกลางและกัมพูชาที่ลดลง ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และ รพ. Aryu ในเมียนมาร์ เริ่มมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น และได้รับผลกระทบจำกัดจากปัญหาการเมือง, 2. ปัจจุบัน THG มีเตียงรองรับรักษาผู้ป่วย Covid-19 ในโรงพยาบาลราว 100 เตียง และมี Hospitel ราว 500 เตียง ขณะที่ปัจจุบันมีผู้เข้าตรวจคัดกรอง Covid-19 เฉลี่ยวันละ 300 รายต่อวัน ลดลงจากเดือนเม.ย. 64 เฉลี่ยที่ 1,000 รายต่อวัน และ 3. ผู้บริหารคงเป้าโอนห้องชุด Jin wellbeing เดือนละ 2 ห้อง เนื่องจากยังคงได้รับผลกูระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ปัจจุบันมีแบ็กล็อกรอโอนอีก 33 ห้อง ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์กังวลต่อดอกเบี้ยจ่ายของโครงการห้องชุดดังกล่าวราว 90 ล้านบาทต่อปี
วัคซีนทางเลือก ปัจจัยบวกหนุนผลงานฟื้น
ฝ่ายวิเคราะห์คงผลประกอบการปี 2564 ขาดทุน 22 ล้านบาท โดยยังคงสมมติฐานผู้ป่วยต่างชาติจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปีนี้มีแนวโน้มขาดทุนลดลง คาดจะมีรายได้จาก Covid-19 ในไตรมาส 2/64 ราว 400 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการตรวจคัดกรอง Covid-19 ในเดือนเม.ย. 64 เฉลี่ย 1,000 รายต่อวัน รวมถึงมีเตียง IPD สำหรับผู้ป่วย Covid-19 ราว 100 เตียง ในโรงพยาบาลและมีห้องสำหรับ Hospitelอีกราว 500 ห้อง และครึ่งหลังของปี 64 เชื่อว่าบริษัทจะได้ปัจจัยบวกจากวัคซีนทางเลือกที่นำมาจำหน่ายให้ประชาชน ซึ่งยังไม่รวมในประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์
