โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

The Man in the High Castle - ประวัติศาสตร์สยองเมื่อนาซีครองโลก - เพจ Kanin The Movie

TALK TODAY

เผยแพร่ 19 พ.ย. 2562 เวลา 17.00 น. • เพจ Kanin The Movie

เมื่อพูดถึงคำว่า “ประวัติศาสตร์” เรา ๆ ก็คงจะนึกถึงเรื่องราวเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เรื่องราวสำคัญที่ส่งผลต่อมายังชีวิต สังคม ประเทศ หรือกระทั่งโลกทั้งใบ มนุษย์มีชุดประวัติศาสตร์มากมายเต็มไปหมดทั้งเรื่องที่ดีและแสนเลวร้าย แต่อาจจะเพราะว่าทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง เราจึงเข้าใจและยอมรับมันได้ กระนั้น คำว่าประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ตายตัวกับความจริงเสมอไป สำหรับงานเขียน มันได้เกิดเรื่องราวของ “ประวัติศาสตร์ทางเลือก” (Alternate History) ขึ้นมา อันว่าด้วยการหยิบจับเอาประวัติศาสตร์และเหตุการณ์จริงมาร้อยเรียง ตีความ และนำเสนอในทิศทางอื่นที่ต่างออกไป เรื่องราวใหม่ที่เติบโตขึ้นจากรากฐานความจริงเดิมทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เช่นเดียวกับซีรีส์ “The Man in the High Castle” ที่เชื้อเชิญให้ผู้ชมเดินทางข้ามมิติไปสำรวจประวัติศาสตร์ของอีกโลกหนึ่ง: โลกที่ฝ่ายอักษะชนะสงครามโลกครั้งที่สอง และสหรัฐอเมริกาถูกยึดครองโดยนาซีและญี่ปุ่น

The Man in the High Castle เป็นซีรีส์ ดราม่า-ไซไฟ-ทริลเลอร์ ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ ฟิลิป เค. ดิก (เจ้าของงานเขียนที่ถูกนำมาสร้างภาพยนตร์อย่าง Blade Runner, Total Recall, Minority Report) บอกเล่าเรื่องราวใน ค.ศ. 1962 - 15 ปีให้หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แทนที่จะเป็นประวัติศาสตร์ตามความเข้าใจ โลกใบนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรกลับพ่ายแพ้สงครามให้กับอักษะ ส่งผลให้อเมริกาถูกนาซีและญี่ปุ่นยึดครองโดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ซีรีส์โฟกัสไปยังชีวิตของคนจำนวนหนึ่งจากทั้งดินแดนของนาซี (ฝั่งตะวันออก) และดินแดนญี่ปุ่น (ฝั่งตะวันตก) โดยมีม้วนฟิล์มปริศนาเป็นกุญแจสำคัญ กับบุคคลลึกลับนาม “ชายบนปราสาทสูง” ผู้อยู่เบื้องหลังการต่อสู้กับอำนาจมืดทั้งหมด 

อาจจะฟังดูไม่มีอะไรแต่ในทุก ๆ ซีซั่น The Man in the High Castle เต็มไปด้วยเส้นเรื่องและรายละเอียดที่ถูกต่อยอดพัฒนาอยู่เสมอ จากเรื่องราวเล็ก ๆ ของม้วนฟิล์มที่ปรากฎ “ประวัติศาสตร์คู่ขนาน” นำไปสู่การต่อกรกับอำนาจอักษะที่ปกครองอเมริกามาเกือบ 20 ปี โดยที่ในเวลาเดียวกัน เราก็จะได้เห็นปัญหาทางการเมืองระหว่างสองประเทศที่ยังคงเดือดระอุและพร้อมจะก่อสงครามกันตลอดเวลา ได้เห็นวัฒนธรรม ความคิด และอุดมการณ์อันน่ากลัวที่ยังคงถูกสานต่อ ซึ่งปรากฏอยู่ในทุก ๆ  ตอนผ่านเหตุการณ์และการกล่าวถึงสภาพสังคมแวดล้อม นโยบายรัฐ และอื่นอีก ๆ มาก เราได้เห็นการเผยแพร่วัฒนธรรมญี่ปุ่นปกคลุมเมือง ซาน ฟรานซิสโก ได้เห็นชากลายเป็นเครื่องดื่มประจำวันแทนกาแฟ ได้เห็นวิธีการคิด การทำงาน และปกครองของหน่วยงานรัฐแต่ละส่วน เช่นเดียวกับฟากนาซี เราได้เห็นอุดมการณ์ของ ฮิตเลอร์ ที่ถูกสานต่อ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เสร็จสมบูรณ์ นำไปสู่การคัดแยกประชากร ค้นหาสายเลือดบริสุทธิ์ และการถ่ายทอดออกความคิดทั้งหมดส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะกับคนเยอรมันเองหรือคนอเมริกันก็ตาม

นอกเหนือจากนั้น การเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางเลือกทำให้ซีรีส์สามารถบิดเอาเรื่องจริงที่เรารับรู้อยู่แล้วมานำเสนอในทิศทางอื่นที่ต่างออกไปได้ แม้ว่าโลกใน The Man in the High Castle ฝ่ายอักษะจะชนะสงคราม แต่เราก็จะได้เห็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นคู่ขนานไปด้วย อาทิ การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงเมือง วอชิงตัน ดี.ซี. แทนที่ ฮิโรชิมะ และ นางาซากิ / การเกิดสงคราม ญี่ปุ่น-จีน แทนที่ อเมริกา-เวียดนาม / การเกิดสงครามเย็น ญี่ปุ่น-นาซี แทนที่ อเมริกา-รัสเซีย และอื่น ๆ อีกมากจนปฏิเสธไม่ได้ว่าหากคุณสนใจหรือเคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์โลกเบื้องต้นมา น่าจะเอนจอยกับซีรีส์เป็นพิเศษจริง ๆ เพราะมันสร้างโลกใหม่จากโลกเดิมได้สนุก สร้างสรรค์ และไปไกลกว่าที่คาดไว้เสมอตั้งแต่ต้นจนจบจริง ๆ

กระนั้น สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้ก็คือตัวละคร ซีรีส์เต็มไปด้วยตัวละครเท่าโหลที่ต่างมีฟังก์ชั่นและความสำคัญต่อเรื่องแตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวละครเด่นไปจนถึงตัวละครรอง การโฟกัสไปยังชีวิตทุกฝักทุกฝ่ายทำให้เกิดเรื่องราวสีเทาเกิดขึ้น เรื่องของสาวธรรมดาที่สานต่อเจตนารมณ์น้องสาว, สายลับเยอรมันที่เริ่มตั้งคำถามกับประเทศตัวเอง, รัฐมนตรีญี่ปุ่นที่เสาะหาโลกอันสงบสุข ไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐนาซีชาวอเมริกาที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เรื่องราวใน The Man in the High Castle เต็มไปด้วยคอนฟลิกต์ที่สนุกเพราะเล่นกับเรื่องการเมืองและการเป็นฝักเป็นฝ่ายตลอดเวลา อุดมการณ์ความคิดที่แรงกล้าของนาซีกับญี่ปุ่นทำให้เราได้เห็นมิติหลายๆส่วนที่น่าสนใจ ซ้อนทับอยู่บนเรื่องราวที่เป็นมากกว่าโลกดิสโทเปียอันดำมืด การได้เห็นมุมที่น่ากลัวของกลุ่มต่อต้าน และด้านที่อ่อนไหวของชาวนาซีหรือญี่ปุ่น ทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจและตัดสินได้ยากตลอดเวลา เราอาจจะเกลียดในสิ่งที่ประเทศเหล่านี้ทำต่อมนุษย์ แต่ในบางจังหวะเราก็อดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยไปกับตัวละครนาซีหรือญี่ปุ่นที่กำลังแก้ไขสถานการณ์วิกฤต ซึ่งเป็นส่วนที่เราชอบในซีรีส์มาก ๆ เพราะเมื่อดูมาจนจบ ก็พบว่าเราคล้อยตามไปกับทุกตัวละครทุกฝ่ายในเรื่องเลย อาจจะเพราะหนังย้อนกลับมาตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่ตัวละครกระทำด้วย จนต้องยอมรับว่าซีรีส์หาทางลงให้กับตัวละครเกือบทุกคนได้ดีจริง ๆ  (ไม่เว้นกระทั่งตัวละครชั่วร้ายที่หลายคนเกลียด)

นอกเหนือจากนั้น The Man in the High Castle เป็นซีรีส์ที่โดดเด่นในงานสร้างมาก ๆ การจะตอกย้ำความเป็น Alternate History จำเป็นจะต้องถ่ายทอดผ่านภาพประวัติศาสตร์ในโลกที่ต่างออกไป เราได้เห็นการดีไซน์นิวยอร์กที่นาซีปกครอง ได้เห็น ซาน ฟรานซิสโก เวอร์ชั่นญี่ปุ่น และก็ได้เห็น Neutral Zone พื้นที่คั่นกลางระหว่างสองประเทศที่ให้บรรยากาศราวกับแดนเถื่อน ทั้งหมดที่ว่ามีบุคลิกที่เด่นชัดด้วยวิธีการสร้างโลกที่มีเสน่ห์และเข้มข้น ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะได้เห็นพื้นที่ใหม่ ๆ เหตุการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น ส่วนที่เราชอบที่สุดคือการรังสรรค์ “เจอร์มาเนีย” เมืองในฝันของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่หมายมั่นจะสร้างขึ้นแต่เลือนรางหายไปเมื่อเกิดสงครามโลก ในโลกความจริงเราได้เห็นแค่แปลนโมเดล แต่ในซีรีส์มันมีชีวิตขึ้นมา ความเป็นประวัติศาสตร์ทางเลือกของมันจึงน่าสนใจตรงนี้ ตรงที่เราได้เห็นและสัมผัสสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในโลกความจริง (นอกเหนือจากนั้น เราจะได้เห็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของนาซีอีกมากมายที่ถูกสานต่อจากช่วงสงครามโลกอีกที)

จริงๆยังมีหลายอย่างที่อยากเขียนถึงแต่เกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญจนเกินไป (ด้วยความตั้งใจให้บทความนี้เป็นบทความแนะนำซีรีส์ไม่ใช่บทความวิเคราะห์) เรื่องหนึ่งที่อยากเน้นย้ำและน่าจะทำให้ใครหลายคนสนใจคือเรื่องของโลกคู่ขนาน มันเริ่มต้นจากการเป็นทฤษฎีประหลาดๆน่าพิศวง พัฒนาจนกลายมาเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนโลกทั้งใบ เราชอบวิธีการใช้ประวัติศาสตร์ทางเลือกของมันมาก ๆ ในขณะที่ตัวซีรีส์เองนำเอาเรื่องราวจริงมาเล่นกับการรับรู้ของผู้ชม (ที่อยู่ในโลกเดิม โลกที่ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเป็นของเรา) เรื่องราวในซีรีส์ ม้วนฟิล์ม หรือการมีอยู่ของโลกอีกใบก็ส่งผลและมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในเรื่องด้วย การได้รู้ว่ายังมีโลกอีกใบที่ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงคราม โลกที่นาซีและเยอรมันพ่ายแพ้ ทำให้เกิดความหวังและกำลังใจที่จะแก้ไขโลกที่เราอยู่ให้ต่างออกไปจากเดิม ไอเดียดังกล่าวแข็งแรงและน่าสนใจมาก ๆ กลายเป็นทั้งความตื่นเต้น ชวนฉงน และจุดเริ่มต้นของการต่อสู้โดยแท้จริง การต่อสู้ที่มีความเชื่อและหลักฐานยืนยันว่าโลกของเราอาจกลายเป็นแบบนั้นได้เช่นกัน

ที่หยิบมาเขียนให้อ่านกันเพราะปีนี้ซีรีส์เดินทางมาถึง Final Season แล้ว แม้จะไม่ได้เข้มข้นหรือสนุกแบบซีซั่น 2 แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องราวการต่อสู้ทางอำนาจ การเมือง และทฤษฎีโลกคู่ขนานเดินทางมาไกลและหาทางลงได้อย่างน่าประทับใจ ใครที่ชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางเลือกทำนอง Watchmen, Inglourious Basterds, X-Men ไม่อยากให้พลาดเรื่องนี้กัน เพราะมันหยิบเอาเรื่องราวจริงมาจินตนาการต่อได้สนุกและเข้มข้นจนบางครั้งก็น่าตกใจในความกล้า บ้า และสร้างสรรค์ ใครสนใจ The Man in the High Castle สามารถรับชมได้ทางสตรีมมิ่ง Prime Video ของ Amazon ครับ มีทั้งหมด 4 ซีซั่น ซีซั่นละ 10 ตอนครับ

.

.

ติดตามบทความของเพจ Kanin The Movie ได้บน LINE TODAY ทุกวันพุธ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0