“กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ “RMF” ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทกองทุนที่นักลงทุนในประเทศให้ความสนใจ เนื่องจากนโยบายการสนับสนุนการออมเงินเพื่อเกษียณ โดย “ภาครัฐ” ได้ให้ ‘ประโยชน์ทางภาษี’ เพื่อจูงใจอยากให้นักลงทุนและคนทั่วไปให้ความสำคัญในการเก็บเงินเพื่อชีวิตเกษียณของตัวเองนั่นเอง
จึงเป็นที่การของการจัดตั้งกองทุนประเภทดังกล่าว โดยได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีอย่างการลดหย่อนภาษีเงินได้รายบุคคลประจำปี จึงทำให้นักลงทุนไม่น้อยต่างก็ให้ความสำคัญเพราะถือว่ามี “แต้มต่อ” ที่เหนือกว่ากองทุนรวมปกติทั่วไป
ในส่วนของผลการดำเนินของกองนั้นต่างก็มีปะปนกันไปทั้งบวกและลบ เพราะตัวนโยบายการลงทุนจะมีทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้ง “ต่างประเทศ” และ “ในประเทศ” ซึ่งทำให้ผลตอบแทนจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ของตลาดที่กระทบกับสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนเป็นสำคัญ
แต่ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ จึงอยากนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานของ “กองทุนRMF-หุ้นไทย” ในช่วง 3 เดือนแรกหรือไตรมาส 1/64 มาแชร์ให้กับผู้ที่สนใจหรือกำลังติดตามกองประเภทดังกล่าวมาแชร์กันในครั้งนี้
“กอง TLEQRMF” แชมป์กลุ่ม ‘กอง RMF-หุ้นไทย’ โชว์ผลตอบแทนไตรมาสแรก 25.50%
โดยต้องยอมรับว่าช่วงไตรมาสที่1/64 ที่ผ่านมานี้ “ตลาดหุ้นไทย” ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในโลก โดย SET TRI +10.49% ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของ“กองRMF-หุ้นไทย” ก็เป็นอีกหนึ่งกองที่ผลงานค่อนข้างร้อนแรงกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังเผชิญกับปัจจัยที่ทำให้ตลาดมีความผันผวน ทำให้ผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นไทยสูงกว่าของหุ้นต่างประเทศ
ซึ่ง “กองRMF-หุ้นไทย” ที่มีผลการดำเนินโดดเด่นที่สุดตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 31 มี.ค. 64) ในกลุ่มเป็นกองจาก ‘บลจ.ทาลิส’ที่มีชื่อว่า “กองทุนเปิดทาลิส หุ้นทุน เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ “TLEQRMF”ด้วยผลตอบแทน 25.50%
“กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารทุน หุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยเป็นไปในลักษณะที่ส่งผลให้กองทุนมี net exposure ในตราสารทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน”
พอร์ตการลงทุน (ณ วันที่ 25 ก.พ. 64) หุ้น 5 ตัวแรกที่ถืออยู่ ได้แก่ BBL 7.05%, COM7 6.71%, CPN 6.67%, JMT 6.57% และ SAWAD 6.42%
อันดับรองลงมามีชื่อกองว่า “กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นไดนามิคเพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ “KFDNMRMF” จาก ‘บลจ.กรุงศรี’ ด้วยผลตอบแทน 22.55%
“กองทุนมีนโยบายจะลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตราสารทุน หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่อ้างอิงกับผลตอบแทนของหุ้นหรือกลุ่มหุ้นของบริษัทจดทะเบียนข้างต้น รวมถึงหุ้นที่อยู่ในระหว่าง IPO เพื่อการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อย 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งทุนนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น อย่างตราสารแห่งหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทางการเงินหรือเงินฝาก ใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ หรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวม”
สำหรับอันดับ 3 จะเป็นกองทุนเดียวกันกับอันดับ 4 และ 5 ซึ่งตัวนโยบายจะเป็นรูปแบบเดียวกันหมดทั้ง 3 กองแต่จะแตกต่างกันที่การจ่ายคืนผลตอบแทนแต่ละกองที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกลุ่มนักลงทุนในแต่ละกลุ่ม โดยกองทุนมีชื่อว่า “กองทุนทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ “TMSRMF” ชนิดหน่วยลงทุน B, P และ A ด้วยผลตอบแทน 22.31%, 22.12% และ 22.12% ตามลำดับ
ส่วนชื่อของทั้ง 3 กองทุนประกอบไปด้วย “กองทุนทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (B)” หรือ “TMSRMF-B”, “กองทุนทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดหน่วยลงทุน PVD” หรือ “TMSRMF-P” และ “กองทุนทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (A)” หรือ “TMSRMF-A”เรียงตามลำดับ
“โดยนโยบายการลงทุนของกองทั้ง 3 กอง นั้น จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน”
บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก สำหรับกองทุนนี้ให้หมายถึง บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (MarketCapitalization) ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ณ วันทำการก่อนหน้าวันที่กองทุนลงทุน หากต่อมามูลค่าตลาดของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเติบโตเกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กองทุนกำหนดไว้ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิ์ที่จะมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทดังกล่าวต่อไปได้ และไม่ถือว่าเป็นการผิดนโยบายการลงทุนของกองทุน
“กองทุน RMF ก็คงเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่นักลงทุนหลายๆ คน ให้น้ำหนักหรือให้ความสำคัญในการลงทุนเป็นอันดับต้นๆ ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐที่ให้ ‘สิทธิประโยชน์ทางภาษี’ มาให้เป็น ‘แต้มต่อ’ ที่สำคัญ แต่ในด้านผลการดำเนินงานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญไม่ต่างกัน เพราะการออมเงินเพื่อเกษียณที่ดีก็ควรมีการเติบโตของเงินด้วยเช่นกัน”
