นับเป็นการขยับตัวครั้งใหญ่ของ“ซีพีเอ็น” (CPN) Developer ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป ขยายไลน์ธุรกิจใหม่ คือการทำ “Coworking Space” ภายใต้แบรนด์ “Common Ground” ให้บริการ 24 ชั่วโมง โดย เป็นการร่วมทุน “Common Ground Group” ผู้ให้บริการ Coworking Space จากมาเลเซียที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1,400 คนใน 6 สาขาในมาเลเซีย เช่น กัวลาลัมเปอร์ และมีแผนเปิดครบ 15 สาขาทั่วมาเลเซียในปีนี้ พร้อมทั้งขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มายังไทย และฟิลิปปินส์
สำหรับในไทย ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท “Common Ground Thailand” ถือหุ้นโดย“ซีพีเอ็น” 51% / “Common Ground Group” 29% /“MSB Asia” กลุ่มการเงินของมาเลเซีย ถือหุ้น 20% ด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท
เปิดสาขาแรกที่ “เซ็นทรัลเวิลด์” ให้บริการ 24 ชั่วโมง
สำหรับสาขาแรกจะเปิดที่ “เซ็นทรัลเวิล์ด” ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2019 โดยสาขานี้เป็น Regional Flagship ขนาดพื้นที่ 4,500 ตารางเมตร ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งของ Common Ground อยู่ในพื้นที่ศูนย์การค้าในทำเลที่สามารถเข้า-ออกจากข้างนอกได้ง่าย ตลอด 24 ชั่วโมง
รูปแบบการสมัครสมาชิก แบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ 1. Hot Desk (1 ที่นั่ง) ไม่มีที่นั่งประจำ ค่าสมาชิก 4,000 บาทต่อเดือน / 2. Fixed Desk (1 ที่นั่ง) มีที่นั่งประจำของตัวเอง / 3. Private Office รองรับได้ตั้งแต่ 2 – 8 ที่นั่ง ราคาค่าสมาชิกรูปแบบนี้ 4 คน 10,000 บาทต่อเดือน และ 8 คน ค่าสมาชิก 20,000 บาทต่อเดือน
“ซีพีเอ็น” ตั้งเป้าเปิด 20 สาขาทั่วประเทศใน 5 ปี ด้วยงบลงทุน 800 ล้านบาท เฉลี่ยขนาดพื้นที่สาขา 2,000 ตารางเมตร เน้นเปิดในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่ตั้งอยู่ในย่าน CBD และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด และคาดว่าในปี 2020 บริษัทร่วมทุนนี้จะมีรายได้ 500 ล้านบาท
ชูจุดแข็ง อยู่ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ย่าน CBD – จับมือพาร์ทเนอร์หลายธุรกิจ ให้เบเนฟิตแก่สมาชิก
แม้จะเข้าสู่ตลาด Coworking Space ทีหลัง แต่สิ่งที่ “ซีพีเอ็น” และ“Common Ground” มั่นใจว่าจะแจ้งเกิดในธุรกิจ Coworking Space ในไทยได้ คือ เครือข่ายโครงการศูนย์การค้าของ “ซีพีเอ็น” ที่อยู่ตามย่านธุรกิจ (CBD – Central Business District) ที่ภายในมีองค์ประกอบ “ไลฟ์สไตล์” ด้านอื่นๆ
ประกอบการการร่วมทุนครั้งนี้ ได้ดึง Business Model ของ Common Ground Group ที่เน้นสร้างเครือข่ายพันธมิตรในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เพื่อนำเสนอสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกของ Common Ground เช่น เป็นพันธมิตรกับสายการบิน, ฟิตเนส เซ็นเตอร์, ผู้ให้บริการ Nap Room หรือห้องนอนพักผ่อนชั่วคราวระหว่างวัน
5 เหตุผลเบื้องหลัง “ซีพีเอ็น” ลุยธุรกิจ Coworking Space”
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองผิวเผิน อาจเป็นเพียงแค่ diversify ธุรกิจของ “ซีพีเอ็น” ขยายไปยังธุรกิจใหม่ที่กำลังเป็น Mega Trend ทั่วโลกอย่าง Coworking Space แต่ถ้าเจาะลึกเหตุผลที่แท้จริงที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ “ซีพีเอ็น” ตัดสินใจร่วมทุนกับ Common Ground Group เพื่อรุกธุรกิจ Coworking Space เต็มรูปแบบ มีดังนี้
1. วิถีการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป นิยมเป็น “ฟรีแลนซ์” – “เจ้าของกิจการ”
ในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า 50% ของตลาดงานจะเป็นคนกลุ่ม “Millennials Generation” โดยปัจจุบันคนรุ่นใหม่เลือกเป็น“ฟรีแลนซ์” มากขึ้น และไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ เปลี่ยนแปลงไปตาม Technology และ Flexibility โดยต้องการพื้นที่ทำงานที่มีความเป็น “Collaborative Workspace”
ขณะเดียวกันความฝันของคนยุคนี้ ต้องการเป็นนายตัวเอง หลายคนจึงมองหาอาชีพเสริม และหลายคนออกมาประกอบธุรกิจของตัวเอง นี่จึงทำให้ธุรกิจ “SME” ในไทยเพิ่มขึ้นมาก โดยพบว่าอัตราการเติบโตของตัวเลข SME ในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 8 – 10% ต่อปี มากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
โดยกว่า 1 ใน 6 มีธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ หรือคิดเป็นกว่า 500,000 ราย ซึ่ง SME เหล่านี้ มองหาสถานที่ทำงานในทำเลดี หรือ Prime location แต่การเข้าถึงออฟฟิศให้เช่าเกรด A ในกรุงเทพฯ เป็นไปได้ยาก และมีราคาสูง
นี่จึงทำให้“Coworking Space” เป็นสถานที่ตอบโจทย์คนกลุ่ม Millennials และผู้ประกอบการธุรกิจ SME และ Startup ยุคนี้
2. องค์กรใหญ่ไม่เช่าออฟฟิศหรูหราขนาดใหญ่ หันเช่า Coworking Space ใจกลางเมือง
ไม่เพียงแต่ฟรีแลนซ์ และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง-ย่อมเท่านั้นที่ใช้พื้นที่ Coworking Space แต่เวลานี้แนวโน้มของ “องค์กรขนาดใหญ่” ต้องการลดค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ขนาดใหญ่ของ Office Building โดยบางองค์กรใช้วิธีลดพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงาน และไปเช่าพื้นที่ Coworking Space ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ในรูปแบบเช่ารายเดือน หรือบางบริษัททำสัญญาเป็นรายปี เพื่อไว้สำหรับประชุมงาน หรือมีนัดหมายคุยงานกับลูกค้า ก็ให้มาที่ Coworking Space
อย่างบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ และโรงงานผลิตตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถติดต่องานได้สะดวก บางบริษัทก็เปิดออฟฟิศในกรุงเทพฯ แต่บางบริษัททุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันเริ่มมีบริษัทที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม มาเช่า Coworking Space สำหรับประชุมงานโดยเฉพาะ
3. จิ๊กซอว์ต่อภาพ “Community” ให้กับศูนย์การค้า
ในอดีตหลักการทำธุรกิจ “ศูนย์การค้า” เป็นเรื่อง “Space Management” นั่นคือ การให้ร้านค้า-แบรนด์มาเช่าพื้นที่เปิดหน้าร้าน แต่ทุกวันนี้ “Retail Landscape” เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อโลกเคลื่อนเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ และผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้ว ผ่านช่องทางออนไลน์
นั่นเท่ากับว่า “ศูนย์การค้า” ต้องฉีกตัวเองออกไปให้เป็นมากกว่า “Shopping Center” หรือ “Shopping Mall” สำหรับตอบโจทย์ด้านช้อปปิ้ง แต่ต้องยกระดับไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางของการใช้ชีวิตครบวงจร” ตั้งแต่เป็นสถานที่นัดพบปะเพื่อน-ครอบครัว อาหารการกิน ช้อปปิ้ง อัพเดทเทรนด์ ไปจนถึงเป็นสถานที่ทำงาน และติดต่อ-พูดคุยด้านธุรกิจ
วิสัยทัศน์ของ “ซีพีเอ็น” คือ การพัฒนาศูนย์การค้าให้เป็น “Center of Life” หรือ “ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่” เพราะฉะนั้นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจึงมุ่งไปที่ “Experience Driven” หรือ “Lifestyle Driven” เป็นหลัก หมายความว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในชีวิตประจำวัน หรือไลฟ์สไตล์ และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค “ซีพีเอ็น” ต้องนำเข้ามาเติมเต็มในโครงการ เพื่อทำให้ศูนย์การค้า ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นสถานที่ช้อปปิ้งอย่างเดียว แต่ยังเป็น “Community” ของทุกคน
ดังนั้นการมี Co-working Space “Common Ground” จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของการเติมเต็มความเป็น“Social Community” ในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ด้านต่างๆ
4. เพิ่มการหมุนเวียนลูกค้าตลอด 7 วัน และ “เพิ่มการใช้เวลา” อยู่ในศูนย์การค้า
คัมภีร์สำคัญของการทำ“ศูนย์การค้า” คือ Traffic หรือการหมุนเวียนลูกค้าตลอดทั้งวัน และทั้งสัปดาห์ โดย “ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสมาคมผู้ค้าปลีกไทย” เล่าถึงหัวใจของการทำธุรกิจศูนย์การค้าไว้อย่างน่าสนใจว่า
Traffic ของศูนย์การค้าต้องประกอบด้วย “ประชากรช่วงกลางวัน” (Daytime Population) – “ประชากรช่วงเย็น” และ “ประชากรในวันหยุด” ซึ่ง “ประชากรภาคกลางวัน” มาจากโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงแรม ออฟฟิศ สถานที่ราชการ จุดต่อรถ-ต่อเรือในย่านนั้น ขณะที่ “ประชาภาคเย็น” เป็นที่อยู่อาศัยในย่านที่ศูนย์การค้านั้นๆ ตั้งอยู่ และ “ประชากรในวันหยุด” มีทั้งจากคนในโซนที่ศูนย์การค้าตั้งอยู่ กับคนนอกพื้นที่ ถ้าศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มี “แม่เหล็ก” มาก ย่อมมีแรงดึงดูดได้มากขึ้น”
เพราะฉะนั้นการเปิด Coworking Space ในศูนย์การค้า นอกจากสร้าง “Community” แล้ว ทางซีพีเอ็นต้องการสร้าง Traffic หรือคนเข้ามาใช้ชีวิตในศูนย์การค้าในช่วงวันธรรมดา (Weekday) เนื่องจากศูนย์การค้าส่วนใหญ่ คนนิยมมาในช่วงวันหยุด (Weekend) ดังนั้นการมี Coworking Space จะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงคนให้มาในวันธรรมดา และทำให้เกิด Traffic ตลอด 7 วัน
ขณะเดียวกันทำให้คนที่มาศูนย์การค้า ใช้เวลา (Spend Time) อยู่ที่ศูนย์การค้านานขึ้น จากเดิมอาจเฉลี่ย 1 – 2 ชั่วโมง ก็เพิ่มเป็น 3 – 5 ชั่วโมง หรือครึ่งวัน สิ่งที่ตามมาคือ เมื่ออยู่ในศูนย์การค้านานขึ้น ย่อมเกิดการใช้จ่ายตามมา ทั้งอาหารการกิน เครื่องดื่ม หรือแม้แต่การจับจ่ายสิ่งต่างๆ
5. เสริมความแข็งแกร่ง “Business Ecosystem” กลุ่มเซ็นทรัล
ทิศทางการขยายธุรกิจของ Big Conglomerate เพื่อทำให้ “Business Ecosystem” แข็งแกร่งยิ่งขึ้น คือ การทำ Collaboration ไม่ว่าจะในรูปแบบเข้าไปร่วมลงทุน หรือควบรวมกิจการ รวมไปถึงให้การสนับสนุนด้านต่างๆ แก่พันธมิตรธุรกิจ ที่มีตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึงผู้ประกอบการ SME และ Startup ที่มีศักยภาพ
อย่างการทำโครงการ “CPNlead” (CPN Leading Entrepreneur Advanced Development) เพื่อหาดาวรุ่งผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่เข้ามาเป็น “ผู้เช่าพื้นที่” ในโครงการของซีพีเอ็น รวมถึงการจัดงานจำหน่ายสินค้า-บริการของผู้ประกอบการธุรกิจ SME
การสร้างพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจ SME เพราะซีพีเอ็น ต้องการให้สินค้า-บริการ SME มาสร้างความแปลกใหม่ และแตกต่างให้กับศูนย์การค้า จากก่อนหน้านี้การมาเดินศูนย์การค้า จะพบเห็นแต่แบรนด์ใหญ่ ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เหมือนกัน ซึ่งไม่สามารถสร้างความแตกต่าง และประสบการณ์ใหม่ให้กับตัวศูนย์ฯ ได้
ดังนั้น การทำ Coworking Space ที่ต้องการให้เป็นจุดสร้าง Networking ของทั้งฟรีแลนซ์ และเจ้าของธุรกิจ ทั้ง SME และ Startup ได้มาเจอกัน และเกิดความร่วมมือทางธุรกิจ เพื่อในอนาคต“ซีพีเอ็น” เล็งเห็น SME – Startup รายใดที่มีศักยภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกับ Core Business ของซีพีเอ็น จะได้ต่อยอดไปสู่การดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “Business Ecosystem” ของซีพีเอ็น และกลุ่มเซ็นทรัล
“เราเชื่อว่า Common Ground จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจด้วย Network และ Marketplace ซึ่งจะต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจ (Expand Business through deep partnerships) ร่วมกับซีพีเอ็น และกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยการได้ทดลองทำตลาด ทำจริง ขายจริง ในศูนย์การค้าของซีพีเอ็น และธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล” มร.เออร์แมน อะคินซี หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Common Ground และ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Common Ground สรุปทิ้งท้าย
ผ่าเทรนด์ Coworking Space ทั่วโลก
ในปี 2019 แนวโน้ม Coworking Space จะขยายตัวทั่วโลก รวมทั้งในไทย โดยมี 6 เทรนด์สำคัญ โดยแบ่งเป็น
ระดับนักลงทุนธุรกิจ Coworking Space
- เทรนด์การเข้ามาลงทุนทำ Coworking Space จะเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความครบครันให้กับโครงการในรูปแบบ Mixed-use Development ของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์
- เทรนด์ Local act Global เป็นการผสมผสานอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของผู้ประกอบการในท้องถิ่นเข้ากับความเชี่ยวชาญการจัดการในระดับนานาชาติจาก Global Brand
ระดับผู้ประกอบการยุคใหม่
- กระแส Work-Life Balance ในกลุ่มคนรุ่นใหม่
- เทรนด์ชอบใช้พื้นที่การทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และช่วยจุดประกายต่อยอดโอกาสธุรกิจ (Flexible & Hyper Competitive Space)
- เทรนด์ความต้องการเชื่อมต่อ Network ด้วยเทคโนโลยี และระบบ Blockchain ในพื้นที่การทำงาน
- เทรนด์กลุ่มบริษัทใหญ่ (Corporate) เริ่มมองหาพื้นที่การทำงานในรูปแบบใหม่ เพือกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้กับองค์กร รวมถึงลดภาระค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ยังคงเป็นเทรนด์ต่อเนื่องจากปีนี้
อ่านบทความทั้งหมด ที่ MarketingOops.com
