โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Selina and Sirinya: นักดนตรีโฟล์กผู้หลงใหลธรรมชาติและการบันทึกประสบการณ์ผ่านเสียงเพลง

a day BULLETIN

อัพเดต 24 ม.ค. 2563 เวลา 05.36 น. • เผยแพร่ 24 ม.ค. 2563 เวลา 05.20 น. • a day BULLETIN
Selina and Sirinya: นักดนตรีโฟล์กผู้หลงใหลธรรมชาติและการบันทึกประสบการณ์ผ่านเสียงเพลง

 “เพลงที่เราแต่งจะมาจากชีวิตการเดินทางของตัวเอง เวลาไปเที่ยว ได้เห็นธรรมชาติ หรือไปเจอสิ่งต่างๆ เราจะเขียนเป็นเพลงเก็บไว้”

        การแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตนเองสะท้อนให้เราเห็นมุมมองของพวกเขา รามได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่เป็นเหมือนแสงแดดยามเช้า ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านถ้อยคำในบทเพลง ส่วนนทีก็บอกกับเราว่า ชีวิตเขานั้นต้องพบทั้งการจากลาและสุขสมหวังเพื่อเป็นพลังในการสร้างบทเพลง

        แม้ว่าการเป็นวงดนตรีโฟล์กของพวกเขาจะนำเสนออารมณ์ทางดนตรีที่ต่างกัน แต่ Selina and Sirinya กลับสามารถทำให้ความแตกต่างนี้ผสมผสานกันได้อย่างกลมกล่อมตลอดระยะเวลา 20  ปีที่ผ่านมาได้อย่างงดงามตามวิถีของโฟล์กซองอย่างถ่องแท้

 

selina and sirinya
selina and sirinya

Selina and Sirinya เริ่มต้นกันมาอย่างไร

        ราม: พวกเราเจอกันที่วิทยาลัยช่างศิลป สุพรรณบุรี ซึ่งตอนนั้นก็เล่นดนตรีกันอยู่แล้ว พอพวกเราเห็นว่าสไตล์เข้ากันดีก็เลยมาฟอร์มวงกัน แต่ตอนนั้นเป็นวงร็อกนะ (หัวเราะ) เป็นวงดนตรีแนวพังก์ แนวการาจ-ร็อก มีคนอื่นร่วมวงด้วย มีมือกลอง มือเบส มือกีตาร์ และนักร้อง พวกเราใช้ชื่อวงว่า The Collage แต่พอเข้ามหา'ลัยทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปหมด

        นที: หลังจากวงยุบไปเหลือเราแค่ 2 คน  ซึ่งก็เรียนกันคนละที่แต่ยังไปแฮงเอาต์ด้วยกันอยู่ตลอด เราว่าวงคงอิ่มตัวกับดนตรีร็อกด้วยเลยไม่ได้ไปต่อ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เราทั้งคู่เริ่มหันมาฟังพวกศิลปินโฟล์กมากขึ้นแล้วด้วย ก็เลยลองมาทำ Selina and Sirinya กันดูดีกว่า

รู้มาว่ามาว่าชื่อ Selina and Sirinya มาจากชื่อแฟนของพวกคุณทั้งสองคน 

        นที: เราพยายามหาชื่อที่มีความหมายดีๆ หลายชื่ออยู่นะ แต่สุดท้ายแล้วก็คิดว่าแฟนหรือคนรักมันก็มีความหมายเหมือนกัน 

        ราม: เราให้ความสำคัญกับเรื่องของความสัมพันธ์ การเอาชื่อแฟนมาทำเป็นชื่อวงเรารู้สึกว่ามันตรงกับความรู้สึกเรา มันสื่อความหมายได้ แล้วชื่อก็พ้องกันอีก (Selina and Sirinya ออกเสียง S เหมือนกัน) แต่พอเอาชื่อแฟนมาเป็นชื่อวงก็จะมีคำถามเกี่ยวกับแฟนต่ออีก ซึ่งแฟนเรา (Selina) ยังอยู่ก็จะตอบเหมือนทุกๆ ครั้ง แต่ของนทีคนจะชอบถามถึงว่าแล้ว Sirinya ไปไหน (หัวเราะ)

        นที: ของเราไม่อยู่แล้ว เปลี่ยนแฟนแล้ว แต่ก็ไม่มีผลอะไรนะ เราสามารถแยกชื่อวงกับชื่อเขาออกจากกันได้ มันคนละส่วนกัน ชื่อเขาก็อีกส่วนหนึ่งที่เป็นตัวตนของเขา ส่วนของเราคือ Sirinya ที่เป็นชื่อวงแทน

การที่ชื่อใครสักคนจะกลายเป็นวงดนตรี เขาต้องมีความสำคัญมากเลยนะ ตอนที่บอกพวกเธอว่าจะเอาชื่อมาเป็นชื่อวง เขายินดีไหม

        นที: ของเราเขาเฉยๆ  เพราะตอนนั้นก็เหมือนจะเป็นเพื่อนกันแล้ว 

        ราม: ส่วนของเราตอนนั้นใหม่ๆ กำลังหวานกันเลย (หัวเราะ) เขาก็เขินนะ แต่เราก็อยากตั้งให้เป็นเครดิตเธอด้วย เพราะเพลงชุดแรกเธอก็ช่วยเราแต่งเพลง จริงๆ เซลิน่าเองก็เป็นคนเล่นดนตรี ชอบฟังเพลง เหมือนกับพวกเราเลย

เพลงของพวกคุณส่วนใหญ่แล้วจะเป็นด้านดีของความสัมพันธ์ ซึ่งต่างจากวงดนตรีอื่นๆ ที่เขามักพูดถึงเรื่องของความผิดหวัง ความเสียใจ 

        ราม: อาจเป็นเพราะเราชอบฟังเพลงแนวนี้มากกว่า และเราคิดว่าถ้าจะให้อะไรกับคนฟังมันควรเป็นแง่บวกมากกว่าลบ การจะสร้างแรงบันดาลใจเราควรให้ในสิ่งที่เป็น positive แม้คนมักจะบอกว่าเพลงเศร้ามีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากกว่าเพลงรัก แต่เราก็เลือกที่จะทำเพลงรัก หรือเพลงที่เป็นความสัมพันธ์ด้านบวกแบบนี้มากกว่า

แต่ในเพลง ดอกไม้ ก็เศร้าพอตัวอยู่เหมือนกันนะ 

        นที: เพลงนี้เราเป็นคนแต่ง เป็นช่วงที่เราพักวง ช่วงนั้นเหมือนมันขาดกำลังใจไป จำได้ว่าเขียนไว้เกือบปีแล้วค่อยเอามาเรียบเรียงใหม่ และอัดเป็นเพลงออกมา

 

เพลงโฟล์กส่วนใหญ่มักมีการกล่าวถึงท้องฟ้า ดวงดาว ป่าไม้อะไรแบบนี้ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมนักดนตรีโฟล์กถึงชอบเล่าเรื่องอะไรแบบนี้

        นที: เราว่ามันขึ้นอยู่กับว่าที่มาของพวกนั้นมาจากไหน แล้วเรารู้สึกอย่างไรต่อคำพวกนั้นมากกว่า สำหรับเราแล้ว เราอยากให้ดอกไม้ ท้องฟ้า เธอหรือเขา อาจเป็นอะไรหรือใครก็ได้ มันก็เหมือนกับภาพเขียนที่เราไม่ได้บอกกันตรงๆ หรอกว่าความหมายมันคืออะไร เราอยากให้เขานำเรื่องราวของตัวเองไปแต่งแต้มเพิ่มเติมดู

        ราม: ส่วนเราจะพูดถึงเรื่องของธรรมชาติมากกว่า เวลาเราพูดเรื่องความรัก เราจะไม่พูดแค่ความรักที่เป็นเรื่องของหญิงชายที่รักกัน แต่จะพูดถึงความรักกับธรรมชาติ หรืออะไรที่มันกว้างกว่านั้น รักที่ไม่ใช่รักแบบหนุ่มสาว แต่อาจจะเป็นต้นไม้รักกับคนอะไรแบบนี้ เป็นการตีความความรักที่กว้างออกไป

ในช่วงแรกเห็นว่าวงพวกคุณกำลังไปได้สวยเลย แล้วทำไมอยู่ดีๆ รามถึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเลยล่ะ

        ราม: เพราะเราไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากกับการเป็น Selina and Sirinya เราไม่ได้เล่นดนตรีเพื่อที่จะโด่งดัง จริงๆ ก่อนที่จะไปอเมริกาเราก็แอบหนีไปอยู่ปายมาก่อน (หัวเราะ) นานๆ จะลงมาเล่นดนตรีในเมืองสักที แต่ตอนที่อยู่ที่ปายก็ยังทำเพลงกับนทีตลอด แค่ไม่มีโชว์ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขดี ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร

พวกคุณแค่รู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องราวที่อยากเล่าผ่านบทเพลงแค่นั้นจริงๆ เหรอ

        นที: ใช่ ด้วยความที่เราก็มีงานประจำของตัวเองอยู่แล้ว การทำเพลงบางทีก็แค่อยากนอนเล่นกีตาร์ คิดเพลงใหม่ คิดได้ก็อัพลง SoundCloud หรือยูทูบ แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย

        แต่มันก็มีจุดเปลี่ยน น่าจะเป็นตอนงาน Keep on the grass folk music festival ที่เขาชวน Selina and Sirinya ไปเล่น แต่รามเขาไปอยู่อเมริกาแล้ว เราก็เลยต้องไปเล่นคนเดียว คิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะมีคนฟังไหม ซึ่งเราเล่นเป็นวงสุดท้าย แต่ที่รู้สึกดีคือยังมีคนรอฟังอยู่ 

เพื่อนร่วมวงไม่อยู่แล้ว ตอนนั้นรู้สึกเศร้าบ้างไหม

        นที: เราไม่ได้คิดว่ารามไปไหน เพราะเราก็ยังทำเพลงกันอยู่เรื่อยๆ ตลอด เราคิดว่ามันคือการเดินทางตามวิถีชีวิตที่ควรจะเป็นไปมากกว่า จะไปห้ามอะไรก็ไม่ได้หรอก

อะไรที่ทำให้พวกคุณกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

        นที: ช่วงนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองอยากทำออกอัลบั้มใหม่ด้วย อีกทั้งยังมีคอนเสิร์ตของเราที่ดาดฟ้าปราชญ์เปรียวสตูดิโอ บัตรขายหมดเร็วมาก ก็เลยรู้สึกว่ามีคนที่สนใจพวกเราอยู่จริงๆ นะ

 

selina and sirinya
selina and sirinya

ระหว่างที่อยู่กันคนละฝั่งของโลก เคยคิดไหมว่าอยากออกไปทำเพลงคนเดียว หรือเป็นศิลปินเดี่ยว

        นที: จริงๆ ในช่วงที่รามไปอยู่อเมริกาเรามีโปรเจ็กต์เดียวชื่อ ‘Uncle Tree’ ซึ่งไม่ได้ต่างไปจาก Selina and Sirinya เท่าไหร่ เพราะมันก็คือตัวเรา อาจจะมีเรื่องของดนตรีที่แตกต่างไป แต่เรื่องราวที่ใช้เล่ายังเหมือนเดิม

แล้วช่วงที่คุณไปอยู่อเมริกาเป็นอย่างไรบ้าง ยังทำเพลงอยู่ไหม

        ราม: ยังทำอยู่เรื่อยๆ การไปอยู่อมเริกาของเราคือไปอยู่กับครอบครัว เวลาชีวิตของเราส่วนใหญ่ใช้ไปกับแฟนและลูก เพลงที่เขียนตอนไปอยู่อเมริกามี Still Together และYou are my Buddha ทำให้เรื่องราวต่างๆ ที่ใช้ในการแต่งเพลงเป็นเรื่องความรักภายในครอบครัวมากกว่า

การทำเพลงที่อเมริกาต่างไปจากตอนที่คุณอยู่ประเทศไทยบ้างไหม 

        ราม: คนละความรู้สึก อยู่ที่อเมริกาก็เป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะเราโตขึ้นด้วย เรามีเรื่องราวและแรงบันดาลใจอื่นๆ เพิ่มเข้ามา เช่น ลูกของเรา มันเลยทำให้เราได้เห็นความรักอีกแบบที่ไม่ใช่รักกันฉันสามีภรรยา หรือรักแบบหนุ่มสาว แต่มันเป็นความรักที่กว้างขึ้น เลยอยากเอาความหมายเหล่านั้นมาเขียนลงในเพลง

วงการโฟล์กอเมริกาเขามีวิธีคิดหรือแนวการแต่งเพลงเหมือนเราหรือเปล่า ที่พูดถึงเรื่องท้องฟ้า ดวงดาว แสงแดด อะไรแบบนี้

        ราม: มีบ้าง แต่ก็คนละวัฒนธรรม อาจจะมีทั้งความเหมือนและต่าง จริงๆ โฟล์กซองเป็นแนวเพลงที่ค่อนข้างสากล ใช้เครื่องดนตรีที่เรียบง่าย เป็นดนตรีอะคูสติก ส่วนเรื่องของสตอรีอยู่ที่ว่าแต่ละประเทศเขามีวิธีคิดอย่างไรและวัฒนธรรมแบบไหน อย่างของเราจะพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่ในชีวิต เรื่องราวตั้งแต่เด็กจนโต วัฒนธรรมที่โดนบ่มเพาะ ทำให้ความรักหรือเรื่องที่ใช้เล่ามันคนละแบบกัน วัฒนธรรมของเขาก็อีกแบบหนึ่ง ความรักของเขาก็อีกแบบหนึ่ง ถ้าจะเอามาเทียบกันมันคงไม่เหมือนหรือต่างซะทีเดียว

ทำให้การทำเพลงของ Selina and Sirinya ในอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างกันหรือเปล่า

        นที: แตกต่างในแง่ของเวลามากกว่า เรายังใช้พวกท้องฟ้า ดวงดาว มาประกอบในเพลงอยู่ แค่สถานการณ์เปลี่ยนไป มุมมองการมองโลก และประสบการณ์ต่างๆ มันทำให้เราโตขึ้น เหมือนถ้าพูดเรื่องความรักไม่ใช่ว่าต้องเป็นความสุข หรือทุกข์เพียงอย่างเดียว แต่เราต้องเห็นให้ได้ว่าสองสิ่งนี้มันมีความสมดุลกัน 

เคยคิดไหมว่าถ้าไม่ไปอเมริกา และยังคงทำเพลงกันแบบเมื่อก่อนคงดังไปแล้ว

        ราม: ไม่นะ เป็นคนอื่นมากกว่าที่มาบอกเราว่าเสียดาย แต่ส่วนตัวไม่ได้คิดอะไร มันคือชีวิต และเราต้องเลือกสิ่งที่สำคัญกว่า ชีวิตเราไม่ใช่แค่การเป็น Selina and Sirinya แต่มันยังมีบทบาทอื่นๆ ให้สวม เพลงที่แต่งส่วนใหญ่ก็เอาเรื่องราวชีวิตครอบครัวมาแต่ง เพราะถ้าเป็นศิลปินไปเลยคงไม่มีอะไรกว้างๆ ให้เราเอามาเขียนเป็นเพลง

 

selina and sirinya
selina and sirinya

ถึงตอนนี้คุณยังเชื่ออยู่ไหมว่าการทำเพลงแง่บวกมันดีต่อใจกว่าการทำเพลงเศร้า 

        ราม: บทเพลงก็เหมือนชีวิต ต้องมีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง บางครั้งถ้ามีแต่ความสุขเลยก็น่าเบื่อ ซึ่งส่วนส่วนใหญ่นทีเขาจะชอบเล่าเรื่องเศร้าในเพลง เพราะเห็นว่าความเศร้ามันสวยงาม เป็นเหมือนสัจธรรมของชีวิตสำหรับเขา ส่วนเราไม่ค่อยชอบความเศร้าเท่าไหร่ แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริง

แล้วนทีทำไมถึงรู้สึกว่าความเศร้า ความเสียใจ ควรถูกบันทึกอยู่ในเพลงของคุณ

        นที: เมื่อก่อนมีช่วงหนึ่งที่เราอยู่คนเดียวแล้วเรา มีคำถาม มีความผิดหวัง ความเศร้า เรารู้สึกว่าเวลาอยู่ในความรู้สึกนั้น เรามีความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นมากมาย ถ้าเทียบกับตอนมีความสุข เราเขียนอะไรจากความเสียใจได้เยอะกว่า เหมือนมันดึงอารมณ์เราออกมาได้มากกว่าความสุข 

พอเปลี่ยนมาระบายเป็นบทเพลงมันช่วยเยียวยาคุณได้ใช่ไหม

        นที: ช่วยได้มาก ช่วยปลอบประโลมเราด้วยส่วนหนึ่ง ก็เลยอยากให้ความรู้สึกนี้ส่งต่อไปให้คนฟัง ไปช่วยปลอบประโลมพวกเขาด้วย 

ทุกวันนี้คุณสรุปตัวตนของ Selina and Sirinya ได้หรือยัง

        ราม: เราว่าเป็นอะไรที่เรียบง่าย ถ้าสังเกตคำที่พวกเราใช้ เราไม่ได้ใช้คำยาก แต่มันออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ที่เราจริงใจกับงานที่เราทำ เราทำดนตรีที่เชื่อว่าความรู้สึกนี้ต้องมีคนเชื่อมโยงถึงมันได้ เราเชื่ออย่างหนึ่งนะ เรารู้สึกว่าถ้าเราคิดได้อย่างนี้ มันต้องมีสักคนบนโลกใบนี้ที่คิดแบบนี้เหมือนกัน และเขาคนนั้นก็จะเข้าใจทุกสิ่งที่เราถ่ายทอดอยู่ได้อย่างลึกซึ้ง    

เวลามองย้อนกลับไปเพลงเก่าๆ ของตัวเอง ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ไหม 

        ราม: เราแต่งเพลงให้มันมีการตีความเกิดขึ้นด้วย ต้องเอาเรื่องราวของตัวเองไปเสริมกับเพลงอีกที แล้วด้วยความที่เรายังชอบอะไรเดิมๆ ชอบธรรมชาติ ชอบไปออกแคมป์ เล่นน้ำ ไปทะเล ไปเที่ยว เราเลยยังรู้สึกเหมือนเดิมกับเพลงของตัวเองอยู่

 

การเป็นศิลปิน เรื่องอารมณ์เป็นส่วนสำคัญมากไหม 

        ราม: สำคัญมาก แต่งเพลงถ้าไม่มีอารมณ์ ไม่มีทางแต่งได้แน่นอน ให้นึกจนหัวแตกก็ไม่มีเนื้อร้องสักคำ ถ้าอารมณ์มาแต่งครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ 

        อย่างเพลง เผลอสุขใจ เรารู้สึกว่า ‘เฮ้ย… ทำไมมันมีความสุขจัง เฮ้ย… ทำไมมันเผลอสุขใจวะ’ เราก็กลับไปวิเคราะห์ว่าวันนั้นทำอะไรบ้าง แล้วก็เอาอารมณ์นั้นมาบันทึกไว้กับเพลง มันก็เป็นเหมือนช่วงเวลาหนึ่งที่เราบันทึกไว้ว่าเคยมีความสุข สังเกตเวลาเล่นเพลงนี้เราจะชอบหลับตาแล้วจะเห็นเรื่องราว เวลาเล่นจะเห็นเลยเราพูดอะไร มันจะเป็นภาพขึ้นมาเลย เหมือนกับที่เราบันทึกไว้

เรื่องความรักก็ลงตัวแล้ว มีครอบครัวที่มั่นคงแล้ว พวกคุณผ่านเรื่องใหญ่ของชีวิตมาเกือบหมดแล้ว ทุกวันนี้ใช้อะไรเป็นแรงขับเคลื่อนในการทำเพลง

        ราม: หลังๆ เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องการให้มากกว่า ให้แล้วทำให้เรารู้สึกดี มีกำลังใจ อย่างเพลง มหัศจรรย์ ตอนนั้นย้ายไปอยู่อเมริกาแล้ว ที่นั่นมี 4 ฤดู มันเห็นชัดมากเลยอยากเอาสิ่งสวยงามตรงนั้นมาถ่ายทอด เรารู้สึกว่าอยากให้แรงบันดาลใจที่เราผ่านมา เก็บเกี่ยวมาทั้งหมดตลอดชีวิต แล้วเขาเข้าใจ เราจะรู้สึกมีความสุขมากเลย นี่ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อน 

ได้คิดไว้ไหมว่าจะทำ Selina and Sirinya ไปถึงเมื่อไหร่

        นที: คงทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หรอกที่จะเลิกทำกันจริงๆ เพราะการเป็นเพื่อนมันไม่ต้องพูดว่า เฮ้ย ขอพักก่อน หรือไม่ทำแล้วนะ มีเวลาทำก็ทำ ไม่มีเวลาก็พักไปทำอย่างอื่นกันก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้มากกว่า

        ราม: บางครั้งถ้าเราไปคิดถึงตอนจบจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่สนุก เราต้องอยู่กับปัจจุบัน อีกอย่างเราไม่ได้ทำเป็นอาชีพ เลยอยากตั้งคำถามกับสังคมและอยากให้อะไรกับผู้คนมากกว่า

คาดหวังไหมว่าสุดท้ายแล้วคนฟังควรจะได้อะไรจากเพลงของคุณ 

        ราม: อย่างน้อยให้เขาได้เข้าใจ คืออาจไม่ต้องเข้าใจเนื้อหาทุกคำที่เราพูด แต่แค่เข้าใจสิ่งที่สื่อออกไปว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรมากกว่า อยากให้พวกเขามีแรงบันดาลใจที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะบางครั้งคนเราต้องการกำลังใจแบบนี้มากเลยนะ ลองคิดดูสิว่าทำไมเราต้องฟังเพลง เพราะมันให้แรงบันดาลใจ มันทำให้เรามีความสุข

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0