โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

STGT ราคาเปิดอยู่ที่ 55.25 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 62.5% จากราคา IPO ที่หุ้นละ 34 บาท

ทันหุ้น

อัพเดต 02 ก.ค. 2563 เวลา 03.07 น. • เผยแพร่ 02 ก.ค. 2563 เวลา 03.07 น.

ทันหุ้น-สู้โควิด : หุ้นบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ STGT  ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ของไทย เข้าซื้อขายใน SET เป็นวันแรกราคาเปิดอยู่ที่  55.25  บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 62.5% จากราคา IPO ที่หุ้นละ 34 บาท 

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น STGT เช้านี้ ราคาเปิดอยู่ที่ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 21.25 บาท หรือเพิ่มขึ้น 62.5% จากราคา IPO ที่หุ้นละ 34 บาท เมื่อเวลา 09.58 น. ราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 55.50 บาท บวก 21.50 บาท หรือ 63.24% มีมูลค่าการซื้อขาย 2,194.83 ล้านบาท 

STGT เสนอขายหุ้น IPO จำนวน  438.78 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายให้บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนรายย่อย ผู้ลงทุนสถาบันและผู้มีอุปการคุณของบริษัท จำนวน 432.78 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของ STAและบริษัทย่อยของ STA จำนวน 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 34 บาท 

และเสนอขายกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของ STGT และบริษัทย่อยของ STGT จำนวน 4 ล้านหุ้น ในราคา 30.60 บาท มูลค่าระดมทุนรวม 14,904.92  ล้านบาทมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 48,578.52 ล้านบาท โดยมี บล. ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย

โดยบริษัทมีแผนที่จะนำเงินระดมทุนไปขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้มากกว่า 50,000 ล้านชิ้นต่อปี ในปี 2567 และ 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ในปี 2575 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว บริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ระดับ 100,000 ล้านชิ้นต่อปีในปี 2575 ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจากกำลังการผลิตในปัจจุบัน รวมถึงการขยายตลาดต่างประเทศ และหา

ตลาดใหม่ๆ 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำซื้อให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 45 บาทต่อหุ้น โดย STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่สุดในไทยและอันดับ 3 ของโลก (คู่แข่งอีก 4 รายอยู่ในมาเลเซีย) ด้วยกำลังการผลิต 3.26 หมื่นล้านชิ้นต่อปี ส่งออก 88% ตลาดหลักคือสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน อีก 12% ขายในประเทศ และมีแผนขยายกำลังการผลิตเป็น 5 หมื่นล้านชิ้นภายในปี 2567

         

บริษัทได้เปรียบในด้านต้นทุนน้ำยางข้นที่มี STA เป็น supplier หลัก โรงงานอยู่ใกล้กัน ประหยัดค่าขนส่ง ขณะที่คู่แข่งในมาเลเซียต้องนำเข้าน้ำยางข้นจากไทย ฝ่ายวิจัย คาดกำไรปี 2563 เติบโต  392% เป็น 3.1 พันล้านบาท  กำไรไตรมาส 1/63  คิดเป็น 14% ของทั้งปี แนวโน้มจะโตสูงตั้งแต่ ไตรมาส 2/63 เพราะรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาส ราคาขายปรับขึ้นเพราะอุปสงค์สูงมากและ supply ตึงตัว ราคา IPO คิดเป็น PE ปีนี้ 15.6 เท่า ต่ำกว่าคู่แข่งในมาเลเซียที่ 25 เท่า

        

ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 56 บาทต่อหุ้น มองว่า STGT  จะได้รับการหนุนหลังจาก STA ซึ่งเป็นผู้ส่งออกยางพาราส่วนแบ่งอันดับ 1 ของโลกแล้วการตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำยางธรรมชาติเข้มข้น (Concentrated latex) รายใหญ่ของโลก ส่วนแบ่ง 73% ทำให้ STGT ปิดความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบได้เบ็ดเสร็จ เหนือกว่าคู่แข่งรายใหญ่อีก 4 แห่งที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำยางข้นจากไทย 

ขณะที่เงินจากการ IPO 1.5 หมื่นล้านบาท  ก็เพียงพอขยายกำลังการผลิตอีก 1 เท่าตัวใน 5-6 ปีข้างหน้าแล้ว ดังนั้นแผนการเติบโตระยะยาวในอุตสาหกรรมที่ผู้เล่นใหม่เกิดยาก ด้วยแผนการเจาะตลาดในประเทศกำลังพัฒนา ที่ยังมีจำนวนการใช้ถุงมือยางต่ำเพียง 4-10 ชิ้น/คน/ ปี เช่นประเทศจีน  เทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วที่ 100-150 ชิ้น/คน/ ปี เราจึงมองว่ามีความเป็นไปได้ 

บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุว่า  หุ้น STGT เข้าทำการซื้อขายวันแรก คาดส่งผลบวกต่อการเก็งกำไรต่อหุ้นแม่อย่าง STA ประกอบกับล่าสุดหุ้นกลุ่มถุงมือยางในมาเลเซีย โดยเฉพาะ Top Glove ผู้ผลิตภุงทือยางอันดับ 1 ของโลก ยังคงปรับตัวขึ้นและทำ new high ใหม่ เป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการเก็งกำไรทั้งใน STGT และ STA ทั้งนี้ให้ราคาเหมาะสมหุ้นแม่ STA ที่ 39.90 บาท และถึงแม้ฝ่ายวิจัยไม่ได้ออกบทวิเคราะห์ของ STGT แต่หากอิงคาดการณ์กำไรธุรกิจถุงมือยางปี 2563 ที่ 3,479 ล้านบาท และ PER ที่ 23 เท่า จะได้ราคาเหมาะสม STGT ที่ 56 บาทต่อหุ้น 

คาด STGT จะมีกำไรสุทธิปี 2563 เป็นสถิติ 3.2 พันล้านบาท  เพิ่ม 5 เท่าจากปีก่อน ผลักดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าต้นปี เพิ่มขึ้น 20% และ ราคาขายเฉลี่ยคาดเพิ่ม 15%  จากปีก่อน จากภาวะขาดแคลนถุงมือยางทั่วโลกปีนี้ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาด COVID-19 โดยอัตรากำไรขั้นต้น คาดพุ่งจาก 12.0% เป็น 25.7% โดยไตรมาส 1/63 ช่วงต้นของการระบาด ก็เริ่มไต่ขึ้นแล้วที่ 18.8% 

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก
https://qrgo.page.link/US6SAAPP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNATELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_newsTwitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0