โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

STEC หุ้น “หนู” แต่ไม่หมู?

Wealthy Thai

อัพเดต 23 ก.ย 2562 เวลา 09.54 น. • เผยแพร่ 23 ก.ย 2562 เวลา 09.54 น. • wealthythai
STEC หุ้น “หนู” แต่ไม่หมู?

 

บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ประกอบธุรกิจก่อสร้างงานทุกประเภททั้งงานโยธา และงานเครื่องกล เช่น งานด้านระบบสาธารณูปโภค งานด้านอาคาร งานด้านพลังงาน งานด้านอุตสาหกรรม และงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

 

โดยมีบริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 234,086,788 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.35% รวมทั้งยังมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 71,550,128 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.69% และยังเป็นผู้ก่อตั้ง STEC ด้วย

 

ทั้งนี้ผลประกอบการของ STEC ในปี 2561 มีกำไรสุทธิสูงถึง 1,616.86  ล้านบาท จากปี 2560 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 610.83  ล้านบาท โดยสาเหตุหลัก มาจากรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 27,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.22% จากปี 2560 เป็นผลมาจากปริมาณงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดงวดครึ่งปีแรก 2562 รายงานกำไรสุทธิ 611.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 597 ล้านบาท

 

อย่างที่ทราบกันแล้วในช่วงไตรมาส 2/2562 กำไรสุทธิของ STEC อยู่ที่ 267 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 22% จากไตรมาส 1/2562 เนื่องจาก ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นกดดันให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาที่ระดับ 5% เทียบกับไตรมาส 2/2561 ที่อยู่ระดับ 6.70%

 

 

“STEC ผ่านจุดกำไรแย่สุดไปแล้ว คาดเห็นการเติบตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2562 แม้งานประมูลออกมาล่าช้า แต่ยังมีงานในมือมูลค่ากว่า 9.3 หมื่นล้านบาท และงานในมือยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นสูง จากงานประมูลใหม่ๆที่จะออกมา เช่น สนามบินอู่ตะเภา ที่จะเริ่มประมูลในเร็วๆ นี้ รวมทั้งรถไฟฟ้าสีต่างๆ”

 

นักวิเคราะห์บริษัทหลัหทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน)  มองว่า ประเด็นที่น่าสนใจของ STEC ในช่วงครึ่งปีหลัง เริ่มจาก การได้งานมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทางในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางถึง 36% จะกระทบผลการดำเนินงานในอนาคตหรือไม่ เบื้องต้นทาง STEC ได้ให้ข้อมูลว่า ส่วนที่กลุ่ม BTS-GULF-STEC-RATCH ลดราคาลงมาเพื่อให้ชนะการประมูล ส่วนใหญ่จะเป็นงาน O&M ขณะที่งานก่อสร้างไม่ได้ปรับลดราคาลงมากนัก ดังนั้นผลกระทบเชิงลบของ STEC น่าจะน้อยกว่าผู้ประกอบการอื่นในกลุ่ม ส่วนงานรัฐสภาจะยังไม่เสร็จในปีนี้ แต่จะเสร็จและพร้อมส่งมอบในช่วงปลายปี 2563 โดยความคืบหน้า ณ สิ้นปี 2562 จะอยู่ประมาณ 70% และจะไม่มีการตั้งสำรองเพิ่ม

 

ขณะที่งานใหม่ที่ STEC มีโอกาสได้ประกอบไปด้วย โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภามูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ซึ่ง STEC เข้าร่วมประมูลกับกลุ่ม BBS (JV) รวมทั้งงานก่อสร้างหมอชิตแลนด์มูลค่าประมาณ 6-7 พันล้านบาท, งานก่อสร้างบางกอกมอลล์มูลค่าประมาณ 3-4 พันล้านบาท และงานรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะประมูลในช่วงต้นปี 2563 แต่ในช่วงปลายปีนี้อาจจะเห็นการเปิดขายซอง

 

ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อ” มีราคาเป้าหมายปี 2562 ที่ 23.50 บาท โดยจากความผิดหวังในผลการดำเนินงานและความล่าช้าของงานภาครัฐ ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มผู้รับเหมาปรับฐานลงมารับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว จึงประเมิน Downside ของราคาหุ้นค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตามได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิของปี 2562 ลงมาที่ระดับ 1.25 พันล้านบาท ลดลง 22%จากปี 2561และปรับลดลงมาจากประมาณการเดิม 13% สะท้อนแรงกดดันจากงานใน Backlog ส่วนที่ใกล้จะเสร็จหลายงานซึ่งมีอัตรากำไรต่ำลง

 

นอกจากนี้ช่วงปลายปี 2562 ทาง STEC มีโอกาสได้งานใหม่เข้ามาหนุน Backlog ซึ่งก็จะช่วยปรับ Sentiment การลงทุน และจะหนุนรายได้ก่อสร้างในปี 2563 ให้มีการเติบโตได้โดดเด่น จาก Backlog ที่มี โดยผู้บริหารของ STEC คาดว่ารายได้ก่อสร้างปี 2563 จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 3.7-3.8 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง 19.8%จากปี 2562

 

 

มาร์จิ้นไตรมาส 2 ต่ำสุดแล้ว

 

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางบริษัทคาดหมาย Gross Margin ในครึ่งหลัง 2562 ที่ 5-6% และไม่มีปัญหา Cost Overrun ในงานอื่นๆ โดยระดับ Margin ที่สะดุดไป เกิดจากส่วนผสมของประเภทของงาน

 

ดังนั้นหากพิจารณางานในปัจจุบัน ยังมีโครงการโรงไฟฟ้า Margin สูง รอส่งมอบอีก 3 โครงการ (โรงไฟฟ้า ศรีราชา, ปลวกแดง และ จะนะ) ซึ่งอยู่ในช่วงต้นของการก่อสร้าง ทำให้ Margin ครึ่งหลัง 2562 จะถูกครอบงำด้วยงานโครงสร้างพื้นฐาน และงานอาคาร และเมื่องานโรงไฟฟ้าส่งมอบมากขึ้น ทำให้แนวโน้ม Margin น่าจะค่อยๆดีขึ้น ส่งผลให้ Margin ไตรมาส 2/2562 น่าจะต่ำสุด ทางฝ่ายคาดหมาย Gross Margin ครึ่งหลังปี 2562 ที่ระดับ 5.5% ส่วนทั้งปี 2562 คาดอยู่ที่ 5.89% และปี 2563 คาดอยู่ที่ 5.75%

 

อย่างไรก็ตาม งานประมูลปีนี้ค่อนข้างซบเซา แต่ล่าสุด งานใหญ่ที่เก็งว่าจะมา เช่น งานรถไฟฟ้าสีม่วง, สีส้ม, งานรถไฟทางคู่เฟส 2 มีท่าทีว่าจะประมูลจริงจังในปีหน้า ทำให้มูลค่างานเซ็นใหม่ของผู้ประกอบการค่อนข้างนิ่ง และงานในมือพร่องลงไปเรื่อยๆ

 

แต่ไม่ใช่ประเด็นสำหรับ STEC เพราะปีที่ผ่านมาจับงานใหญ่หลายงานเข้ามา จนล่าสุดมีงานในมือ 9.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทางบริษัทเชื่อว่าจะส่งมอบได้ในครึ่งหลังปี 2562 จำนวน 1.58 หมื่นล้านบาท และปี 2563 ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท จึงประมาณการรายได้ปี 2562 เติบโต 11% และปี 2563 เติบโต 37%

 

ขณะที่คาดหมายกำไรปี 2562 ลดลง 30% เนื่องจาก การดำเนินงาน แม้รายได้จะเติบโต 11% แต่ Margin ที่อ่อนลงตามส่วนผสมของงานที่ส่งมอบที่มาจากงานโรงไฟฟ้าลดลงจากปีก่อน รวมทั้งกำไรพิเศษจากการตีมูลค่าเพิ่มของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในปีก่อน ทำให้กำไรปีนี้ลดลง 30% และกำไรปกติลดลง 15% ในขณะที่ การส่งมอบงานในปีหน้าเพิ่มขึ้นมาก 37%  และMargin ทรงตัว น่าจะทำให้กำไรปี 2563 กลับมาเติบโต 20%

 

คลายความกังวล Margin แนะนำ "ซื้อ"

 

ทางฝ่ายปรับลดประมาณการกำไรปี 62 ลง 4% แต่ปรับประมาณการปี 63 ขึ้น 12% เพื่อสะท้อนสถานการณ์ Margin ล่าสุด ทางฝ่ายประเมินราคาพื้นฐานใหม่ปี 2562 ที่ 24 บาท ตามค่าเฉลี่ย P/B ในอดีตที่ 2.8 เท่า ซึ่งปรับลดลงจากเดิม 7% โดยคาดว่าการผ่อนคลายความกังวล Margin น่าจะเป็นปัจจัยเร่งต่อราคาหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาตอบรับในเชิงลบมากเกินไป โดยล่าสุดซื้อขาย P/B แค่ 2 เท่า

 

 

“นักวิเคราะห์ต่างให้เสียงเดียวกันว่าMargin ไตรมาส 2/2562 น่าจะเป็นต่ำสุดแล้ว และจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจาก มีงาน Margin สูง รอส่งมอบอีก 3 โครงการ นอกจากนี้แม้งานประมูลล่าช้าแต่ยังมี Backlog สูงด้วยที่จะยทอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2562 จึงน่าจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลได้บ้าง”

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0