โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Official Secrets เมื่อรัฐบาลปกปิดความจริง และเราถูกทำให้ต้องหุบปาก

The MATTER

อัพเดต 14 ต.ค. 2562 เวลา 03.57 น. • เผยแพร่ 14 ต.ค. 2562 เวลา 03.33 น. • Pulse

***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์***

“เมื่อไรพวกเราจะกลับไปทำหน้าที่สื่อจริงๆ เสียที ไม่ใช่แค่กระบอกเสียงของรัฐบาล!”

คือถ้อยคำที่นักข่าวในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อังกฤษ The Observer ถกเถียงกันในช่วงเวลาที่สังคมอังกฤษแบ่งเป็น 2 ฝ่าย

เอาหรือไม่เอาสงคราม ?

แต่ ‘สื่อมวลชน’ ไม่ใช่อาชีพหลักที่ภาพยนตร์เรื่อง Official Secrets ต้องการโฟกัส ทว่าเป็น ‘นักแปล’ สาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับคำถามถึงมโนธรรมสำนึก เมื่อหน้าที่การงานในปัจจุบันของเธอ ทำให้ได้เข้าถึงข้อมูลลับของรัฐบาล และหนึ่งในความลับที่ว่า ก็ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล

แคทธารีน กัน (แสดงโดยเคียร่า ไนท์ลี่) ทำงานอยู่ใน GCHQ หน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ในฐานะนักแปลผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนกลาง

ในปี ค.ศ.2003 ระหว่างที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และรัฐบาลอังกฤษของโทนี่ แบลร์ พยายามหาเสียงสนับสนุนในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้ลงมติทำสงครามกับอิรัก โดยอ้างว่ารัฐบาลของซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction – WMD) ไว้ในครอบครอง

ซึ่งถึงตอนนี้เราทุกคนต่างรู้แล้วว่า WMD ของซัดดัมไม่มีจริง

แต่ในเวลานั้น ผู้นำ 2 ชาติมหาอำนาจพยายามทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่า มันมีอยู่จริง

พาดหัวข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ The Observer ของอังกฤษ ที่ใช้ข้อมูลซึ่งแคทธารีน กัน ปล่อยออกมา (ที่มาภาพ: The Guardian)

ฉากต้นเรื่อง แคทธารีน กันตะโกนด่าโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษว่า “โกหก!” ระหว่างการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ที่เขาอ้างว่าจำเป็นต้องทำสงครามกับอิรักเพราะซัดดัมมี WMD ไว้ในครอบครอง และอีกหลายฉากในหนังได้แสดงให้เห็นว่า เธอไม่เชื่อว่าอิรักจะมี WMD และคัดค้านการทำสงคราม เพราะจะสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมาก

ระหว่างนั้น ชีวิตการทำงานใน GCHQ ก็ดำเนินไป ก่อนที่วันหนึ่งจะมีเอกสารสำคัญส่งเข้ามาในอีเมลของเธอและคนในทีม ว่าด้วยความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ (ซึ่งรัฐบาลอังกฤษในช่วงนั้นเป็นพันธมิตรอย่างเหนียวแน่น) ในการหาวิธีดักฟังตัวแทนชาติเล็กๆ 6 ชาติ เพื่อดูว่าจะสนับสนุนการทำสงครามกับอิรักในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามญัตติที่เสนอโดยสหรัฐฯ หรือไม่ – หลังจากอ่านอีเมลนี้จบ เธอยกมือถามหัวหน้าว่าอีเมลนี้ของจริงหรือ หัวหน้าบอกว่า ถ้าเขาส่งเข้าระบบมาก็แสดงว่าจริง จากนั้นเธอก็คิ้วขมวดเงยหน้ามองเพื่อนร่วมงานโต๊ะตรงข้าม ที่พยักเพยิกบอกให้ทำหน้าที่ของตัวเองไป

แต่เรื่องนี้ติดอยู่ในใจของแคทธารีน กันมาตลอด ที่สุด เธอก็ตัดสินใจแอบนำเอกสารลับดังกล่าวส่งไปให้กับสื่อมวลชนอังกฤษหลายฉบับ และฉบับที่ตัดสินใจจตีพิมพ์ก็คือหนังสือพิมพ์ The Observer ผลคือข่าวนี้ดังเป็นพลุแตก!

รัฐบาลอังกฤษรู้ว่าข่าวที่หลุดออกไปมาจาก GCHQ จึงตั้งคนเข้ามาสืบสวน กระทั่งแคทธารีน กัน ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนปล่อยเอกสารลับดังกล่าวออกไปเอง ผลก็คือเธอถูกส่งฟ้องดำเนินคดีฐานทำผิด ‘กฎหมายความลับราชการ’ หรือ The Official Secrets Act ฉบับปี ค.ศ.1989 ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ซึ่งมีอัตราโทษคือจำคุกสูงสุด 2 ปี

คำถามที่น่าสนใจก็คือ หากเป็นตัวคุณที่ได้มีเอกสารลับสำคัญอยู่ในมือ และรู้ว่าถ้าปล่อยข้อมูลออกไปจะได้รับโทษหนัก คุณจะทำเหมือนแคทธารีน กันทำ หรือไม่

ให้แลกระหว่างอิสรภาพของตัวเองกับการที่ประชาชนจะได้รู้ความจริงว่ารัฐบาลปกปิดอะไรคุณอยู่ คุณจะยอมแลกหรือไม่ และภายใต้เงื่อนไขใด ???

ครึ่งหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเป็นเรื่องราวการเตรียมตัวต่อสู้คดีของแคทธารีน กันในศาลอังกฤษ ที่เส้นเรื่องคู่ขนานจะว่าด้วยการทำงานของสื่อมวลชนและทนายความ ที่มีข้อถกเถียงสำคัญชวนคิดไปตลอดทาง ทั้งเรื่องจุดยืนทางการเมือง ผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ไปจนถึงความเป็นมืออาชีพ

หนึ่งในบทสนทนาที่ผมชอบมาก (เพราะตัวเองเป็นนักข่าว) นอกจากโคว้ดที่ยกไว้ตอนต้นบทความ ยังรวมถึงอีกเหตุการณ์ถกเถียงในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ The Observer ที่จุดยืนตอนนั้นคือสนับสนุนการทำสงคราม และเสียความสัมพันธ์กับโทนี่ แบลร์ แต่พอได้เอกสารลับจากแคทธารีน กัน บรรณาธิการบริหารก็เปลี่ยนท่าทีทันที เพราะมองว่า “นี่มันข่าวที่โคตรดี โคตรสำคัญเลย ตีพิมพ์ได้!”

เช่นเดียวกับคำที่แคทธารีน กัน บอกกับพนักงานสืบสวนของอังกฤษที่ว่าเธอไม่ได้ทำงานให้รัฐบาลอังกฤษ จึงไม่ได้ทรยศใครในฐานะสายลับ (spy) แต่เธอทำงานให้กับประชาชนชาวอังกฤษต่างหาก

เรือรบชื่อนายพลเบลกราโนของกองทัพอาร์เจนติน่า ขณะกำลังจมลงสู่ก้นทะเลหลังถูกเรือดำน้ำของอังกฤษโจมตี ในช่วงสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (ที่มาภาพ: BBC)

ย้อนกลับไปกฎหมายที่กล่าวหาว่าแคทธารีน กันทำผิด ก็คือ The Official Secrets Act ฉบับปี ค.ศ.1989 ในหนังมีการให้เกร็ดเล็กๆ ว่าถูกแก้ไขหลังมีการนำข้อมูลภายในกระทรวงกลาโหมของอังกฤษมาแฉว่า ในช่วงสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ระหว่างกองทัพอังกฤษ-อาร์เจนติน่าในปี ค.ศ.1982 เรือรบชื่อ ‘นายพลเบลกราโน’ ของกองทัพอาร์เจนติน่าถูกเรือดำน้ำอังกฤษจม จนทำให้ทหารอาร์เจนติน่าเสียชีวิต 323 คน ทั้งๆ ที่อยู่นอกเขตสู้รบทางทะเล แต่จำเป็นต้องจม เพราะสงครามครั้งนั้นจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของนายกฯ อังกฤษเวลานั้น มาร์กาเร็ต แทตเชอร์

ทว่า ไคลฟ์ พอนติ้ง ผู้ที่นำเอกสารลับดังกล่าวมาปล่อย กลับไม่ถูกลงโทษใดๆ เพราะกฎหมายความลับราชการ หรือ The Official Secrets Act ในขณะนั้น ที่เป็นฉบับปี ค.ศ.1911 ยกเว้นโทษให้กรณีที่การเปิดเผยข้อมูลลับดังกล่าวเป็นไปเพื่อ ‘ประโยชน์สาธารณะ’ ผลคือรัฐบาลของมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ดำเนินการแก้กฎหมาย ตัดข้อความนี้ออกทันที – คดีของ แคทธารีน กัน จึงอ้างเรื่องประโยชน์ของสาธารณะไม่ได้

กระนั้นในการขึ้นพิจารณาคดีขึ้นแรก หลังจากเธอต้องอกสั่นขวัญแขวนกับคดีความ 8 เดือนเต็มๆ ฝ่ายอัยการกลับขอถอนฟ้องเธอดื้อๆ !??

มีคำเฉลยบอกไว้ท้ายเรื่องว่า รัฐบาลอังกฤษเพียงแค่ต้องการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ เท่านั้น

สิ่งที่แคทธารีน กันทำ คือนำข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทั้งทางกฎหมายหรือทางศีลธรรม แต่รัฐบาลพยายามเก็บไว้เป็นความลับมาเปิดให้สาธารณชนได้รับทราบ ถูกเรียกว่า ‘ผู้เป่านกหวีด’ (whistleblower) และในช่วงเวลาเดียวกันก็มีหลายคนที่ทำเช่นเดียวกับเธอ ไม่ว่าจะเชลซี แมนนิ่ง ผู้นำข้อมูลสำคัญเรื่องการกระทำของกองทัพสหรัฐฯ ในอิรัก บันทึกใส่แผ่นซีดีมามอบให้กับเว็บไซต์วิกิลีกส์ หรือกรณีของเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ที่ออกมาแฉโครงการสอดส่องประชาชนโดย NSA หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ

แต่การ ‘แฉ’ ที่ว่า มีราคาที่ต้องจ่าย

เชลซี แมนนิ่ง ถูกตัดสินให้จำคุกในคดีทำผิดกฎหมายจารกรรม (Espionage Act) ถึง 35 ปี แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัก โอบาม่า หลังติดคุกอยู่ 4 ปีเศษ ส่วนเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ต้องลี้ภัยอยู่ในรัสเซียไม่สามารถกลับบ้านเกิดได้อีก

รัฐบาลและผู้มีอำนาจมักมีความลับที่ตั้งใจปกปิดเอาไว้ไม่ให้ประชาชนรู้

ความลับบางอย่างรู้แล้วก็ต้องเงียบเก็บไว้ เพราะผู้ปกปิดแสดงท่าทีจริงจังจะเล่นงานผู้เปิดเผยอย่างหนักหน่วงและรุนแรง บางครั้งถึงขั้นเอาชีวิต

แต่ whistleblower ก็ยังเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย แม้ทุกคนจะรู้ว่ามีความเสี่ยง – คำถามคือทำไม ?

“เราต้องบอกความจริงกับประชาชน”

“แค่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ ไม่ได้แปลว่าคุณจะปั้นเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้!”

แคทธารีน กัน ให้คำตอบเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Official Secrets ทั้งจากคำพูดและจากการกระทำ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0