โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

JMART ครองแชมป์ หุ้นขึ้นแรงสุดในกลุ่มSET100

Wealthy Thai

อัพเดต 07 ส.ค. 2566 เวลา 22.03 น. • เผยแพร่ 01 เม.ย. 2564 เวลา 11.35 น. • ไชยรัตน์ ศรีสุข

จบไตรมาสที่ 1 ไปอย่างรวดเร็ว เป็นไตรมาสที่ดีของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่น นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างมีกำไรกันมากมาย และหุ้นหลายก็บวกได้โดดเด่น ทำให้วันนี้ wealthy thai เลยเสาะหาหุ้นในกลุ่ม SET100 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ว่าคือหุ้นอะไร และอนาคตยังเข้าลงทุนได้ไหม วันนี้เรามาไขคำตอบ
การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ทำให้หลายหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากการค้นหาของมูล พบว่าหุ้นในกลุ่ม SET100 ที่นักลงทุนนิยมเข้าลงทุนนั้น หุ้นของ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART บวกมากที่สุด มาอยู่ที่ 42.75 บาท ใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น สร้างผลตอบแทนสูงถึง 113.75% อันดับที่ 2 คือ บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF มาอยู่ที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 94.62 % และอันดับที่ 3 หุ้นมหาชนที่พึ่ง IPO ไปหมาด บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ราคามาอยู่ที่ 32.25 บาท เพิ่มขึ้น 79.17 %

JMART เริ่มแพง PE สูง 49 เท่า

เมื่อราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ทำให้หลายคนก็ต้องมาโฟกัสกันว่า หลังจากนี้ทิศทางจะเป็นอย่างไรและราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นนั้นแพงเกินไปหรือเปล่า เพราะจากข้อมูลที่เราค้นพบ อย่าง JMART ในเวลานี้ มีระดับ P/E สูงถึง 49.53 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย )ประเมินว่า JMART ได้ก้าวผ่านจากร้านมือถือสู่เป็นบริษัทแม่มาแรงในเครือธุรกิจการเงินซึ่งคิดเป็น 80% ของกำไร การปรับโครงสร้างเป็นบริษัทนักลงทุน (Investment Holding Company) สร้างเติบโตแบบ J-Curve ทีครบวงจรตั้งแต่ต้น-ปลายน้ำในธุรกิจพาณิชย์-การเงิน (ขายสินค้า-ปล่อยหนี้-บริหารหนี้) ที่ Synergy กัน เราเห็นความน่าสนใจใน 3 แง่มุม i) กำไรที่เดินหน้าทำสถิติใหม่ ii) กลยุทธ์การเติบโตบนตลาดที่ใหญ่กว่ามาต่อยอด S-Curve ใหม่ และ iii) Valuation ที่ยังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง ขณะที่ยังมีหลายบริษัทในเครือที่รอปลดล็อคการเติบโตเป็น Upside risk ต่อประมาณการในอนาคต
กำไรสุทธิของบริษัทจะยังสร้างสถิติใหม่อีกครั้งได้ใน 12-24 เดือนข้างหน้า จากส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นทั้ง i) 53% จาก JMT ที่กำไรสุทธิ +32%YoY ยอดจัดเก็บเงินสดและพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพยังขยายตัวตาม NPL ในระบบที่ยังเป็นขาขึ้น ii) 16% จาก SINGER ที่เทิร์นอะราวด์จากการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อด้วยเทคโนโลยีติดตามลูกหนี้และกลยุทธ์ที่ถูกต้องในธุรกิจจำนำทะเบียนฯ เดินหน้าขยายสินเชื่อแบบไตรมาสต่อไตรมาส เติบโตได้ต่อจากการขยายแฟรนไชส์ในธุรกิจเช่าซื้อ (HP) หนุนกำไรสุทธิปีนี้ +32%จากปีก่อน
ขณะธุรกิจมือถือ-J เริ่มสร้างฐานกำไรได้ 50-150 ลบ./ปี จากการปรับลดต้นทุนคงที่ และกลับมาเติบโตจากปีก่อน ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ของ JMART เท่ากับ 1,081 ลบ. +28%YoY

JFintech ดาวรุ่งดวงใหม่เฉิดฉายปีนี้

การจับมือกับ KB Kookmin Card จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของ Jfintech (KBJ) ในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งในด้านแหล่งเงินทุน-ต้นทุนการเงินที่ต่ำ-เทคโนโลยี จาก i) พอร์ตสินเชื่อขยับจาก 3.5 เป็น 5 พันลบ. ภายในสิ้นปี +47%YoY ปลดล็อคหลังทรงตัวมาตลอด 2 ปี ไม่มีข้อจำกัดด้านทุนอีกต่อไป ii) NIM ขยายตัวขึ้นจาก 18% เป็น 20% ขึ้นจากต้นทุนดอกเบี้ยลดลง 150 bps iii) การตั้งสำรองลดลง ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น %NPL 5% ลดลงมาใกล้เคียงอุตสาหกรรม ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 177 ล้านบาท +75%YoY และ CAGR +55% ในสามปีข้างหน้าก่อนเข้าสู่ธุรกิจบัตรเครดิต

เริ่มต้นคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 31.50 บาท

ราคามูลค่าของบริษัทด้วยวิธี SOTP จากการประเมินบริษัทในเครือตามสัดส่วนที่ถือหุ้น และให้ส่วนลด 10% คิดเป็น P/E’64 27 เท่า ใกล้เคียงกับการเติบโตของกำไรในปีนี้ที่+28%YoY แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี 33 เท่า เรายังเห็น Upside risk บนมูลค่าของ JVC ที่เป็น Tech Company หากสำเร็จในการพัฒนา Platform จะส่งผลต่อมูลค่าบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

กัญชงจะช่วย RBF

ด้าน RBF บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่า การที่ RBF รายงานกำไรสุทธิ 121 ลบ.(+22%YoY,-14%QoQ) หากตัดผลกระทบมาตรฐานบัญชี TFRS9 บริษัทมีกำไรปกติ 128 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด โดยการหดตัว จากไตรมาสก่อน เกิดจาก Product Mix กลุ่มเครื่องดื่มที่มี GPM สูง มีสัดส่วนลดลงตามตลาดเครื่องดื่มชูกำลังและน้ำวิตามิน แต่คาดภาพกำไรปี 64 จะไม่เหมือน 4Q63 และโตได้ระดับ 23% YoY จากแนวโน้มการหาลูกค้าใหม่ได้ไวกว่าคาด
ขณะที่โรงงานในต่างประเทศเพิ่มกำลังผลิตหนุนมาร์จิ้นต่อเนื่อง และ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะดีขึ้น YoY ทำให้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้น 4% และ 6% ตามลำดับ และปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 12 เป็น 12.80 บาท แต่ด้วยราคาปรับขึ้นร้อนแรงจากประเด็นกัญชง ซึ่งเรามองว่าตลาดกำลังจ่ายที่ราคา Best Case ใน Scenario Analysis ของเรา จึงลดคำแนะนำจากซื้อเป็น “ถือ”
จากปัจจัย (1)บริษัทหาลูกค้าใหม่ได้ทั้งในไทย-เทศ 4-5 เจ้า ซึ่งไวกว่าที่เราคาดไว้เดิม และทำให้มั่นใจ คาดการณ์รายได้โตได้สูงกว่า 10% มากกว่าเป้าผู้บริหารได้ไม่ยาก (2)โรงงานในประเทศอินโดฯ และ เวียดนาม โมเมนตัมออเดอร์ยังโต 2 หลักแม้ช่วงโควิด คาดเพิ่มกำลังผลิตหนุนมาร์จิ้นได้ต่อในปีนี้ และ (3)กิจกรรมทางเศรษฐกิจและ Sentiment การบริโภคที่คาดจะฟื้นตัว YoY หนุนให้ผู้ผลิตอาหารปลายน้ำ มีแนวโน้มการออกสินค้าใหม่และใช้ RBF มากขึ้น

เป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพสูงในธุรกิจกัญชง

คาดบริษัทเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ตั้งแต่การนำเข้า-ปลูก-สกัดในธุรกิจกัญชงจาก (1)มีพื้นที่ปลูกและพันธมิตรเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งสภาพอากาศเหมาะสมแก่การปลูกที่สุด และ (2)มี R&D การสกัดอยู่แล้วกับตัวขมิ้น ซึ่งใช้เทคโนโลยีสกัดใกล้เคียงกัน และ
(3)คาดเป็นตัวเลือกแรกๆของลูกค้ากลุ่มอาหารปลายน้ำที่เป็นบริษัทจดทะเบียน จากการทำธุรกิจร่วมกันมายาวนาน ได้รับการยอมรับด้าน R&D โดยหากอิงจากองค์การเภสัชกรรม การปลูกกัญชง 1 ไร่คาดได้สาร CBD ราว 20 กิโลกรัม ๆ ละ 5 หมื่นบาทคิดเป็น Upside กำไรปี 65 ที่ราว 1-18% ดังในรูป Figure 3

ปรับลดคำแนะนำจากปัจจัยบวกต่างๆได้สะท้อนไปในราคา

ลดคำแนะนำจากซื้อ เป็น “ถือ” แม้เราได้ปรับประมาณการกำไร และ ราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 12.80 บาท ด้วยวิธี DCF (WACC 8%, G. 3%) แต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากประเด็น กัญชง ซึ่งเรามองว่าตลาดกำลังจ่ายราคาบน Best Case ใน Scenario Analysis ของเรา ขณะกำไรคาดเห็นอย่างไวใน 4Q64 อีกทั้งยอดขายและมาร์จิ้นของธุรกิจยังมีความไม่แน่นอน หากช่วง 2H64 เริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและไม่ได้ดีตามตลาดหวัง อาจเจอแรงขายทำกำไร

OR ยังน่าซื้อ

ด้านหุ้นมหาชน OR แม้หลายคนมองว่าแพงไป แต่ในสายตา บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า  ราคาหุ้นตอนนี้ยังไม่สะท้อน มูลค่าการเงินลงทุน IPO
โดยพวกเขา เริ่มต้นด้วยคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2021 ที่ 40 บาท จาก 2 ส่วนคือ 1) จากมูลค่าธุรกิจปัจจุบัน 26 บาท บวก ด้วย 2) มูลค่าปัจจุบันของเงิน IPO ที่ไปลงทุนในอนาคตด้วยอัตราคิดลด 14 บาท (Fig 5)
การสัญจรถยนต์กลับมาสูงระดับก่อน COVID-19 จากข้อมูล Community Mobility Reports จาก Google (Fig 1) มาอยู่ในระดับเหนือศูนย์ บ่งบอกว่าปริมาณการสัญจรรถยนต์กลับมาสู่ภาวะปกติก่อนการเกิด COVID-19 ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณการใช้น้ำมัน
ประเมินกำไร 2021 จะโดดเด่นที่ 1.2 หมื่นล้านบาท +42% YoY จากการฟื้นตัวของธุรกิจจำหน่ายน้ำมันที่กลับมาสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ปริมาณขาย +20% YoY

Key Highlight

1. การเดินทางใน 1Q21 ยังคึกคัก จากข้อมูล Community Mobility Reports จาก Google (Fig 1) มาอยู่ในระดับเหนือศูนย์ บ่งบอกว่าปริมาณการสัญจรรถยนต์กลับมาสู่ภาวะปกติก่อนการเกิด COVID-19 ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณการใช้น้ำมัน นอกจากนี้ค่าการตลาดจาก EPPO ยังอยู่ในระดับ 2.30 บาทต่อลิตร ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีสำหรับธุรกิจจำหน่ายน้ำมัน
2. ประเมินกำไร 2021 จะโดนเด่นที่ 1.2 หมื่นล้านบาท +42% YoY จากการฟื้นตัวของธุรกิจจำหน่ายน้ำมันที่กลับมาสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ปริมาณขาย +20% YoY ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกสินค้าจะเติบโตในอัตรา 10% YoY และจะยังรักษา EBITDA Margin ที่ 25%-27%
3. ราคาหุ้น OR ที่ 32.00 บาท เป็นเพียงราคาหุ้นสำหรับธุรกิจปัจจุบันยังไม่สะท้อนการเติบโตจากเงิน IPO ว่า 5 หมื่นล้านบาท และเงินสดในมือ ณ สิ้น ธ.ค. 20 ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท รวมเป็นเงินสดกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นต่อหุ้น 6 บาท ดังนั้นเมื่อหักส่วนเงินสดดังกล่าวออกจากราคาหุ้น เหลือมูลค่าหุ้นที่ซื้อขายจริงๆ เพียง 26.00 บาท เท่านั้น เทียบเท่า PER ที่ 25 เท่า

แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2021 ที่ 40.00 บาทต่อหุ้น

เราเริ่มต้นด้วยคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2021 ที่ 40.00 บาท จาก 2 ส่วนคือ 1) จากมูลค่าธุรกิจปัจจุบัน 26.00 บาท บวก ด้วย 2) มูลค่าปัจจุบันของเงิน IPO ที่ไปลงทุนในอนาคตด้วยอัตราคิดลด 14.00 บาท

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0