เอเจนซีส์ – ผู้พิพากษาศาลแขวงรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวานนี้(11 ธ.ค)ออกคำสั่งให้อดีตดาราหนังผู้ใหญ่ สตอร์มมี แดเนียลส์ (Stormy Daniels) จ่ายเป็นค่าทนายความให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯจำนวน 292,052.33 ดอลลาร์ และค่าปรับอีก 1,000 ดอลลาร์สำหรับการยื่นฟ้องคดีไร้สาระซ้ำซาก
ฟ็อกซ์นิวส์รายงานเมื่อวานนี้(11 ธ.ค)ว่า ชาร์ลส์ เจ. ฮาร์ดเดอร์ (Charles J. Harder)ที่ปรึกษาทางกฎหมายของประธานาธิบดีทรัมป์แถลงว่า “คำสั่งศาล” และเสริมต่อว่า
“พร้อมกับคำสั่งก่อนหน้าที่ให้การยื่นฟ้องในคดีหมิ่นประมาทต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯของ สตอร์มมี แดเนียลส์ตกไป ทั้งหมดนี้ถือเป็นชัยชนะสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และกลายเป็นความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อสตอร์มมี แดเนียลส์ในคดีนี้”
ทั้งนี้พบว่าในวันอังคาร(11)ผู้พิพากษาศาลแขวงรัฐบาลกลางสหรัฐฯในลอสแอนเจลิสออกคำสั่งให้อดีตดาราหนังผู้ใหญ่ สตอร์มมี แดเนียลส์ (Stormy Daniels) ต้องจ่ายเป็นค่าทนายความให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯในจำนวน 292,052.33 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 75% ของค่าใช้จ่ายทางกฎหมายของทรัมป์ รวมไปถึง 1,000 ดอลลาร์เป็นค่าปรับสำหรับการยื่นฟ้องเรื่องไร้สาระ โดยที่ปรึกษาทางกฎหมายของประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่า มีเป้าประสงค์เพื่อทำให้เสรีภาพการแสดงความเห็นของผู้นำสหรัฐฯใช้การไม่ได้
สื่อสหรัฐฯชี้ว่า ก่อนหน้านี้พบว่าทนายความของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ร้องต่อศาลเมื่อต้นปีในจำนวนเงิน 800,000 ดอลลาร์สำหรับค่าทนายความและค่าปรับแดเนียลส์ในคดีหมิ่นประมาทที่ศาลสั่งยกฟ้อง
ซึ่งฮาร์ดเดอร์อ้างว่า ในการทำงานกว่า 500 ชั่วโมงของเขานั้นสำนักงานกฎหมายของเขาได้ใช้จ่ายทางกฎหมายไปเกือบ 390,000 ดอลลาร์ในการต่อสู้คดีให้ทรัมป์ และเขาได้ร้องต่อศาลให้สั่งลงโทษแดเนียลส์ในจำนวนเงินที่เท่ากันจากการที่เธอยื่นฟ้องคดีไร้สาระ
ด้านไมเคิล อเวนัตติ (Michael Avenatti)ทนายความชื่อดังของแดเนียลส์ออกมาโต้ทันทีผ่านทางทวิตเตอร์ว่า
“ชาร์ลส์ ฮาร์ดเดอร์ และทรัมป์นั้นสมควรต้องอยู่ด้วยกันเพราะทั้งคู่เป็นบุคคลที่ไม่ซื่อสัตย์” และเสริมต่อว่า หากสตอร์มมีต้องจ่ายถึง 300,000 ดอลลาร์ให้กับทรัมป์ในคดีหมิ่นประมาท (ซึ่งจะไม่พิพากษายืนในชั้นอุทธรณ์อย่างแน่นอน) และทรัมป์ต้องจ่าย 1,500,000 ดอลลาร์แก่แดเนียลส์ในคดี NDA(โดยถือเป็นยอดรวม 1,200,000 ดอลลาร์ให้กับแดเนียลส์) แล้วอย่างนี้ทรัมป์จะชนะได้อย่างไร?”
ฟ็อกซ์นิวส์รายงานว่า ศาลสั่งยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทของแดเนียลส์ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยผู้พิพากษาเจ้าของคดี เอส. เจมส์ โอเทโร(S. James Otero) อ้างไปถึงหลักการเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น
“ทางศาลเห็นพ้องกับข้อโต้แย้งของคุณทรัมป์ เป็นเพราะการแสดงความคิดเห็นผ่านทางทวิตเตอร์นั้นมักใช้วาทะที่กล่าวเกินจริง ถือเป็นปกติที่มักจะสอดคล้องกับการแสดงความคิดเห็นทางสาธารณะทางการเมืองในสหรัฐฯ” ผู้พิพากษาโอเทโรแถลงในขณะนั้น และเสริมต่อว่า กฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯฉบับข้อแก้ไขที่ 1 (The First Amendment )ปกป้องในการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้
