โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

Iconic Ginger Pride: เมื่อกระแส diversity เปลี่ยนไอคอนของเด็กหญิงผมแดงทั่วโลกให้เป็นอื่น

The Momentum

อัพเดต 22 ก.ค. 2562 เวลา 10.23 น. • เผยแพร่ 22 ก.ค. 2562 เวลา 10.23 น. • กันยณัฏฐ์ พรจันทร์ทอง

In focus

  • ดิสนีย์เคยตั้งใจให้เจ้าหญิงเงือกน้อยฉบับ1989 มีเส้นผมสีบลอนด์ทองเพื่อให้สอดคล้องกับเทพนิยายฉบับดั้งเดิมของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน แต่ด้วยความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องSplash ในปี1984 ซึ่งมีเงือกสาวผมทองสลวย ดิสนีย์จึงตัดสินใจเปลี่ยนแอเรียลให้เป็นผมสีแดง
  • หลังจากดิสนีย์ตัดสินใจให้‘ฮัลลี เบลีย์’ นักร้องและนักแสดงผิวดำมารับบท‘เจ้าหญิงแอเรียล’ ในภาพยนตร์เรื่องThe Little Mermaid ฉบับLive-Action ก็กระแสการตอบรับทั้งด้านบวกและด้านลบ ทั้งชื่นชมว่าเรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์ หรือกล่าวว่าไม่เคารพต่อต้นฉบับ
  • การพยายามเอาใจกระแสdiversity ของดิสนีย์จะไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เคยถูกผลักดันมาแล้วในตัวละคร‘เอลซ่า’ จากเรื่องFrozen (2013) ‘เทียน่า’ จากThe Princess and the Frog ในปี2009 หรือ‘โมอาน่า’ จากMoana ในปี2016 ซึ่งต่างจากเหล่าเจ้าหญิงดิสนีย์ในอดีตที่เกือบทั้งหมดที่ผ่านมา

 หลังจากที่ดิสนีย์ออกมาประกาศว่า ‘ฮัลลี เบลีย์’ (Halle Bailey) นักร้องและนักแสดงผิวดำ วัย 19 ปี หนึ่งในสมาชิกดูโอวงอาร์แอนด์บี Chloe x Halle จะมารับบทเป็น ‘เจ้าหญิงแอเรียล’ ในภาพยนตร์เรื่อง The Little Mermaid ฉบับ Live-Action กระแสการตอบรับทั้งด้านบวกและด้านลบก็ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงจากแฟนดิสนีย์ทั่วโลก ทั้งกระแสที่ชื่นชมว่าดิสนีย์เปิดพื้นที่ให้กับคนผิวดำและส่งเสริมความหลากหลายทางชาติพันธุ์โดยไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์ของตัวละครต้นฉบับหรือความงามตามอุดมคติที่เคยเป็นมาในอดีต ไปจนถึงกระแสความไม่พอใจที่รุนแรงจนเกิดเป็นแฮชแท็ก#NotMyAriel ขึ้นในทวิตเตอร์ทั่วโลก

thememeburn.com

ผู้คนออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางในหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาและสีผิว ไปจนถึงความคิดที่ว่าดิสนีย์นั้นตัดสินใจผิดแล้วที่เลือกทำลายภาพจำซึ่งสั่งสมมากว่า30 ปีของแอเรียลลงด้วยตัวเอง 

นอกจากบรรดาแฟนตัวยงของดิสนีย์ที่ออกมาแสดงความไม่ชอบใจในการคัดเลือกนักแสดงแล้ว คนอีกกลุ่มที่ออกมาแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ก็คือ กลุ่มคนผมแดง ผิวขาวซีด ที่มาพร้อมกระบนใบหน้า อย่างชาวGinger Hair ที่ออกมาโต้ตอบกันอย่างกว้างขวางในโซเชียลเน็ตมีเดียต่างๆ ทั้งทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมว่า แอเรียลนั้นเปรียบเสมือนภาพจำของGinger Pride ที่ทั้งเด็กหญิงและผู้ใหญ่ผมแดงต่างก็ภาคภูมิใจและรอคอยที่จะได้เห็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของตัวเองได้รับบทเป็นแอเรียลฉบับคนแสดงและนำเสนอความเป็นGinger ออกสู่โลกฮอลลีวูดมาโดยตลอด เมื่อตัวละครนี้ถูกเลือกให้รับบทโดยนักแสดงผิวดำอย่างฮัลเล เบลีย์ หลายคนจึงตั้งข้อสงสัยว่า ดิสนีย์กำลังพยายามผลักดันการยอมรับในความแตกต่างหรือdiversity และฉายไฟไปยังคนผิวดำซึ่งกำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ จนลืมไปหรือไม่ว่า การกระทำนี้อาจส่งผลไม่ต่างจากการช่วงชิงการยอมรับไปจากคนผมแดงซึ่งก็เผชิญกับการถูกเหยียดเพราะความแตกต่างตลอดมาไม่ต่างกัน ด้วยการช่วงชิงพื้นที่สื่อที่คนผมแดงผิวกระคิดว่าตนพึงมีไป

หลายคนยังได้ย้อนกลับไปตั้งข้อสังเกตถึงประเด็น Ginger-racism ในหนังฮอลลีวูดและยกสถิติที่ตัวละครผมแดงในหลากหลายเรื่องราวมักจะถูกเปลี่ยนให้เป็นคนผิวดำเมื่อมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดอีกด้วย โดยมีการยกตัวอย่างตัวละครมากมาย ไม่ว่าจะเป็นMary Jane จากSpiderman Homecoming และFar From Home, Iris West และKid Flash จากThe Flash, Starfire จากTeen Titans, Annie จากAnnie (2014), Triss จากเกมThe Witcher, Heimdall จากThor และตัวละครอื่นๆ

การเปลี่ยนแปลงเชื้อชาติของตัวละครเมื่อคอมมิกถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะกับคนผมแดงเท่านั้น แต่ยังมีกรณีอื่นๆ เช่นArthur Curry จากAquaman ซึ่งเคยเป็นคนผมบลอนด์ผิวขาว แต่ถูกเปลี่ยนให้รับบทโดยJason Mamoa ชาวโพลินีเซียน(กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในฮาวาย ตาฮิติ ซามัว รวมไปถึงคนมาวรีในนิวซีแลนด์), Hugo Strange จากGotham ที่เป็นชาวยุโรป และรับบทโดยB.D. Wong ซึ่งเป็นนักแสดงเชื้อสายจีน, Human Torch จากFantastic Four (2015) ที่เป็นคนผมบลอนด์ผิวขาว และรับบทโดยMichael B. Jordan ซึ่งเป็นคนผิวดำ, THE ANCIENT ONE จากDoctor Strange ที่เป็นคนเอเชีย และรับบทโดยTilda Swinton ซึ่งเป็นคนผิวขาว ฯลฯ 

Hollywood doesn’t like redheads

 

 

 

 

แต่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดเป็นแบบแผนที่ชัดเจนเหมือนกรณีที่คนผมแดงถูกเปลี่ยนให้เป็นคนผิวดำซ้ำๆ การตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนแปลงตัวละครจึงเกิดขึ้นเป็นกรณีๆ มากกว่าจะเป็นการตั้งคำถามไปถึงตัวค่านิยมของฮอลลีวูดที่มีต่อคนผมแดงเหมือนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

แม้ว่าการพยายามเอาใจกระแสdiversity ของดิสนีย์จะไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เคยถูกผลักดันมาแล้วในตัวละคร‘เอลซ่า’ จากเรื่องFrozen (2013) ที่ถึงแม้จะไม่ได้ถูกบอกออกมาตรงๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอลซ่าได้นำเสนอเรื่องราวของLGBTQ ออกมาผ่านทั้งความแปลกแยกและตัวตนที่จำต้องกดความเป็นตัวเองเอาไว้ ไปจนถึงการcoming out ในบทเพลงLet it go ที่หลายคนนำไปเปรียบเทียบกับเพลงชาติของชาวLGBTQ อย่างI will survive จนหลายคนคาดเดาว่าเด็กสาวแปลกหน้าที่ปรากฏตัวในทีเซอร์Frozen 2 อาจกลายมาเป็น‘แฟนสาว’ ของเอลซ่าในอนาคต 

รวมไปถึงประเด็นความแตกต่างทางชาติพันธุ์ที่ถูกผลักดันผ่านตัวละครเจ้าหญิงดิสนีย์ยุคใหม่เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็น‘เทียน่า’ จากThe Princess and the Frog ในปี2009 หรือ‘โมอาน่า’ จากMoana ในปี2016 ซึ่งต่างจากเหล่าเจ้าหญิงดิสนีย์ในอดีตที่เกือบทั้งหมดลงเอยด้วยการพบรักกับเจ้าชาย(หรือผู้ชาย) และมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ไม่สูงนัก แต่เมื่อเอลซ่า เทียน่า หรือโมอาน่า เป็นตัวละครออริจินอลที่ดิสนีย์สร้างขึ้นเองโดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนคาแรกเตอร์จากภาพจำใดๆ ที่คนดูคุ้นชิน กระแสการตอบรับจึงแตกต่างจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ตัวละครหลักของภาพยนตร์ดิสนีย์ฉบับคนแสดงถูกสร้างใหม่โดยไม่อ้างอิงตามคาแรกเตอร์เดิมในฉบับแอนิเมชั่นของตัวเอง 

ทำไมแอเรียลต้องเป็นคนGinger?

ก่อนที่จะไปตอบคำถามว่าทำไมแอเรียลจึงถูกเลือกให้มีผมสีแดง เราคงต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับการเกิดขึ้นของเส้นผมสีแดงกันก่อน โดยผมสีแดงเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธุ์ในmelanocortin 1 receptor (MC1R) ซึ่งพบได้เพียง2% ของประชากรทั่วโลก โดยแม้จะปรากฏการค้นพบคนที่มีเส้นผมสีแดงกระจายอยู่ทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่จะมีถิ่นฐานอยู่ในยุโรปตอนกลางและเหนือ(โดยเฉพาะกลุ่มคนเซลติกที่สืบเชื้อสายมาจากชาวเคลต์หรือเซลต์) อย่างชาวสก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์ เวลล์ คอร์นวอลล์ บริตตานี ไปจนถึงนอร์เวย์และฟินแลนด์ 

โดยตำนานนอร์สซึ่งบันทึกไว้ในงานเขียนปกรณัมพื้นถิ่นอย่างProse Edda ที่ถูกเขียนขึ้นในไอร์แลนด์ยุคกลางก็มีการพูดถึงสีผมของเทพเจ้าธอร์เอาไว้ว่ามีผมและเคราสีแดงขนาดใหญ่ โดยคนที่มีเส้นผมสีแดงมักจะมาพร้อมกับผิวสีขาวซีดเสมอ เพราะลักษณะทางพันธุกรรมเช่นนี้ส่งผลให้มีความหนาแน่นของยูเมลานิน(Eumelanin) หรือเซลล์เม็ดสีเข้มในร่างกายต่ำกว่าปกติ

โดยก่อนที่‘ผมแดง–ผิวขาว’ จะกลายมาเป็นภาพจำของแอเรียล จนกลายมาเป็นข้อถกเถียงกันอย่างทุกวันนี้ ดิสนีย์เคยตั้งใจอยากให้เจ้าหญิงเงือกน้อยฉบับ1989 มีเส้นผมสีบลอนด์ทองเพื่อให้สอดคล้องกับเทพนิยายฉบับดั้งเดิมที่เขียนโดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน(Hans Christian Andersen) แต่ด้วยความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องSplash ซึ่งนำแสดงโดย แดรีล ฮันนาห์(Daryl Hannah) ในบทเงือกสาวผมทองสลวย ในปี1984 ดิสนีย์จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของแอเรียลใหม่เพื่อให้บทบาทของเธอโดดเด่นและไม่ไปคล้ายคลึงกับนางเงือกในเรื่องSplash

แดรีล ฮันนาห์ จากเรื่อง Splash (1984)

เมื่อลักษณะพื้นฐานของคนผมแดงทั้งในแง่พื้นที่และพันธุกรรม ไปจนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาประกอบกับการที่ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน หรือผู้ประพันธ์The Little Mermaid ฉบับดั้งเดิมเป็นชาวเดนมาร์กแล้วจึงไม่น่าแปลกใจที่ดิสนีย์ตัดสินใจเลือกให้นางเงือกน้อยของพวกเขามีผิวสีขาวและผมสีแดงจนกลายมาเป็นIconic Princess ของชาวGinger ตลอดมา

ความเจ็บปวดที่มาพร้อมผมสีเพลิง

แม้จะไม่ได้เห็นเด่นชัดเหมือนการเหยียดคนผิวดำ แต่กลุ่มคนผมแดงก็ถือเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนหมู่มาก รวมไปถึงถูกตัดสินและ‘ถูกเหยียด’ เพียงเพราะลักษณะทางพันธุกรรมที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเช่นกัน โดยประวัติศาสตร์การเหยียดคนผมแดงที่เก่าแก่ที่สุดคงต้องย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่15-18 ซึ่งการล่าแม่มดกลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่แพร่หลายไปทั่วโลก 

80% ของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดล้วนเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นหญิงชราที่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เก็บตัว ไม่ชอบพบปะผู้คน หญิงสาวโสด ไปจนถึงเด็กหญิงที่ไม่สนิทสนมกับใคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง‘ผู้หญิงผมแดง’ เพราะคนในอดีตเชื่อว่า เส้นผมสีแดงนั้นสื่อความหมายถึงสิ่งที่เลวร้ายและเกี่ยวข้องกับซาตานในหลากหลายความหมาย ไม่ว่าจะเป็น ไฟ เลือด นรก รวมไปถึงการกล่าวหาว่าคนผมแดงคือคนที่ขโมยไฟมาจากนรก 

โดยในประเทศเยอรมนีช่วงศตวรรษที่15 มีหญิงสาวผมแดงมากถึง45,000 คนที่ถูกสังหารด้วยการเผาและทรมานจากการถูกกล่าวว่าเป็นแม่มด นอกจากนี้ในชุมชนชาวประมงแถบสก็อตแลนด์และไอซ์แลนด์ยังเชื่อกันว่าหากใครเจอผู้หญิงผมแดงระหว่างที่กำลังจะไปจับปลา วันนั้นจะไม่สามารถจับปลาได้อีกด้วย

กลับมาที่ปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของคนGinger ในสื่อก็ไม่ได้ถูกนำเสนออย่างสวยงามนัก ไม่ว่าจะเป็นในภาพยนตร์ชุดดังระดับโลกเรื่องHarry Potter ซึ่งหลายคนกล่าวว่าเป็นการนำเสนอภาพลักษณ์ของคนผมแดงในรูปแบบใหม่ผ่านตัวละคร‘รอน วิสลีย์’ ที่เป็นหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่อง ซึ่งมีความกล้าหาญและเก่งกาจไม่แพ้คนตัวละครผิวขาวตัวอื่นๆ ถึงแม้ครอบครัวของเขาจะโดนดูถูกเหยียดหยามจากคนรอบตัวที่มีผมสีบลอนด์(เช่นครอบครัวมัลฟอยด์) มาโดยตลอด 

นอกจากนี้ รอนก็ยังได้ลงเอยกับคาแรกเตอร์หลักผิวขาวซึ่งเป็นความงามตามอุดมคติอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ถึงแม้เจ.เค.โรลลิง จะพยายามเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของคนผมแดงในภาพยนตร์ให้มีบทบาทใหม่ แต่หลายคนก็ยังตั้งข้อสังเกตว่าสุดท้ายแล้วครอบครัววิสลีย์ก็ยังคงนำเสนอภาพลักษณ์ของคนผมแดงในรูปแบบที่ไม่ต่างจากเดิม คือการเป็นครอบครัวฐานะไม่ดีที่ดูประหลาด เซ่อซ่าและแปลกแยกจากสังคม ต่างจากครอบครัวผมบลอนด์อย่างครอบครัวมัลฟอยด์ที่ถึงแม้จะเป็นครอบครัวผู้วิเศษเหมือนกัน แต่กลับร่ำรวย มีอิทธิพลและถือเป็นเลือดบริสุทธิ์ 

โดยหลังจากที่ได้รับบทเป็นรอน วิสลีย์ นักแสดง‘รูเพิร์ต กรินต์’ เองก็ออกมาเปิดเผยว่า เขาเคยโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียน(bullying) เนื่องด้วยเส้นผมสีแดงของตัวเองมาแล้วเช่นกัน

แอนิเมชั่นอีกเรื่องที่มีการพูดถึงคนผมแดงอย่างชัดเจนก็คือ เซาท์พาร์ก(South Park) เรื่องราวของนักเรียนประถม4 คน กับการผจญภัยภายในเมืองเล็กๆ ชื่อ เซาท์พาร์ก ในรัฐโคโลราโด มีเนื้อหาในแต่ละตอนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยจะเน้นในลักษณะล้อเลียน ประชด เสียดสีสังคม โดยในตอนที่มีชื่อว่า‘Kick a Ginger Day’ มีการพูดถึงคนผมแดงผิวกระว่า‘น่ารังเกียจ’ และ‘เกิดมาพร้อมกับโรค’ 

South Park ตอน Kick a Ginger Day

จนเด็กๆ วัย12-13 ปีที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองบอสตันซึ่งได้ชมเซาท์พาร์ก ในตอนนี้มีอคติต่อเด็กผมแดง และเกิดเป็นกระแสต่อต้านเพื่อนร่วมชั้นผมแดงตลอดทั้งวัน จนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายจนฟกช้ำและมีเลือดออก นอกจากนี้ยังนำไปสู่การก่อตั้งอีเวนต์‘National Kick a Ginger day’  ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการพยายามสถาปนาวันที่20 พฤศจิกายน ของทุกปี ให้เป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชังคนผมแดง ขึ้นในเฟซบุ๊กโดยมีผู้กดเข้าร่วมมากถึง4,700 คนทั่วประเทศแคนาดาอีกด้วย

อิทธิพลของสื่ออย่างภาพยนตร์และการ์ตูน โดยเฉพาะในกรณีของเซาท์พาร์ก แสดงให้เห็นว่าค่านิยมที่มีต่อคนผมแดงในปัจจุบัน แม้จะแตกต่างจากการล่าแม่มดที่มีการสังหารจนถึงแก่ชีวิต แต่ผู้คนก็ยังคงมองว่าคนผมแดงเป็นกลุ่มคนที่แปลกแยก แตกต่าง และไม่ได้รับการยอมรับไม่ต่างจากในอดีต เจ้าหญิงเงือกน้อยผู้ไร้เดียงสา โด่งดัง และเป็นที่รักของทุกคนอย่าง‘แอเรียล’ จึงเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่คอยเยียวยาจิตใจของเด็กหญิงชาวGinger ที่กลายมาเป็นผู้ใหญ่ซึ่งผิดหวังกับการเปลี่ยนแปลงคาแรกเตอร์ของThe Little Mermaid ในปัจจุบัน

ท่ามกลางกระแสต่อต้านที่เกิดขึ้นทั้งจากแฟนดิสนีย์และกลุ่มคนผมแดง ยังมีชาวGinger อีกหลายคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านการโจมตีฮัลเล เบลีย์ และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อยู่ด้วยเช่นกัน โดยโซฟี วิลล์คินสัน บรรณาธิการฟรีแลนซ์ จากเว็บไซต์ ไอริชไทม์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างน่าสนใจว่า ถึงแม้ตัวเธอซึ่งมีผมสีแดงจะผ่านการโดนล้อเลียน เหยียดหยาม และรังแก จากเพื่อนในโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก และมีแอเรียลเป็นแรงบันดาลใจที่ช่วยให้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนั้นมาได้ แต่ในปัจจุบันบนสื่อสาธารณะยังมีตัวละครและนักแสดงผมแดงอีกมากมายที่เป็นที่รักของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นAngela Rayner, Lily Cole, Julianne Moore หรือKaren Gillan ต่างจากในอดีตที่มีเพียงแอเรียลเท่านั้น 

และไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันผู้หญิงผิวดำก็ยังคงต้องเผชิญกับความเกลียดชัง อาชญากรรม และความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้างในสังคมอยู่เสมอ หากแอเรียลในรูปแบบใหม่จะกลายเป็นแบบอย่างที่ช่วยให้หญิงสาวและเด็กหญิงผิวดำที่กำลังจะเติบโตขึ้นในอนาคตสามารถภาคภูมิใจในตัวเองได้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับเธอและเด็กๆ ผมแดง ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่น้อย

แม้ว่าเส้นแบ่งของ‘การสร้างความแตกต่างหลากหลาย’ และ‘การพยายามฝืนเพื่อเอาใจกระแสโลก’ จะยังคงพร่าเลือนจนยากจะตัดสินได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของดิสนีย์เป็นอย่างไร และคงไม่มีใครรู้ว่าการตัดสินใจของดิสนีย์ในครั้งนี้จะถูกต้องหรือตรงกับใจผู้บริโภคหรือไม่จนกว่าหนังจะออกฉาย แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ของดิสนีย์ก็ถือเป็นอีกเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่แสดงให้เห็นถึงการตอบรับและให้ความสำคัญประเด็นความเท่าเทียมในกระแสโลกอย่างจริงจัง 

โดยเฉพาะเมื่อในสหรัฐอเมริกามีการรณรงค์เรื่องสิทธิความเท่าเทียมกันของคนผิวดำเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเหตุการณ์การแบ่งแยกกีดกันหรือทำร้ายคนผิวดำที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา การที่ดิสนีย์ตัดสินใจเลือกนำเสนอประเด็นdiversity ผ่านการให้แอเรียลฉบับคนแสดงกลายเป็นคนผิวดำจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก แต่ในขณะเดียวกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกันหากจะมีผู้คนตั้งข้อสงสัยว่าดิสนีย์ลืมไปหรือไม่ว่าการเลือกคนผิวดำมาแทนคนผมแดงก็ถือเป็นการแบ่งแยกและกีดกันความแตกต่างเช่นเดียวกัน

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0