เบอร์ 1 ในกลุ่มคอมแพ็กต์คาร์ ทั้งจากยอดขายในปีที่แล้ว หรือจะเริ่มนับใหม่ไตรมาสแรกปี2562 “ฮอนด้า ซีวิค” ทำตัวเลขได้ดีกว่า “โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส” และ “มาสด้า 3” ซึ่ง 2 รุ่นนี้กำลังเข้าสู่ปลายอายุโมเดล และเตรียมเปลี่ยนโฉมใหม่ภายในปีนี้
หลังจาก “ซีวิค โฉมใหม่” เจเนอเรชัน 10 ที่มีชื่อเล่นว่า FC เปิดตัวในเมืองไทยต้นปี 2559 ก็โกยยอดขายลิ่วๆ หรือเฉลี่ยปีละกว่า 2 หมื่นคันนะครับ ซึ่งรุ่นใหม่ตัวถังซีดานออกแบบได้เด็ดขาดบาดไส้ติ่ง พร้อมสมรรถนะที่ดีขึ้นพอสมควร บน 2 ทางเลือกเครื่องยนต์คือ เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบ (แทน 2.0 ลิตรเดิม) และ 1.8 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT (รุ่นแฮตช์แบ็กเปิดตัวตามมาในปี 2560)
จะว่าไปแล้วช่วงเปิดตัวใหม่ๆ ด้วยสเปกของ “ซีวิค 1.5 เทอร์โบ” ยังชนกับ “ฟอร์ด โฟกัส ไมเนอร์เชนจ์” ที่มากับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ เหมือนกัน ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวของผม หลังได้ลองขับทั้งคู่แล้ว แอบเอียงใจไปให้คอมแพ็กต์คาร์แบรนด์อเมริกันเล็กน้อย ทั้งเรื่องช่วงล่าง การควบคุม และสัมผัสของเกียร์อัตโนมัติแบบเฟือง ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ 6 สปีด
ปัจจุบันฟอร์ด โฟกัส เลิกทำตลาดในเมืองไทยแล้ว คู่เปรียบจึงลดลงไปหนึ่ง ส่วนคู่แข่งรายอื่นๆต่างมีดีในแบบฉบับของตนเอง พร้อมกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน ซึ่งหลายคนเขาก็ตัดสินที่รูปลักษณ์การออกแบบ และความมั่นใจในแบรนด์เท่านั้นละครับ
เดี๋ยวนี้คอมแพ็กต์คาร์ตัวท็อปของทุกค่ายราคาแตะหลักล้านกันหมดแล้ว ยิ่งเพิ่มออพชันเข้ามา มักปรับราคาขึ้นไปอีก ล่าสุด “ซีวิค ไมเนอร์เชนจ์” ที่เปิดตัวปลายปี 2561 ใส่ระบบความปลอดภัย “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING) ในรุ่นท็อป 1.5 Turbo RS CVT ขยับราคา 2 หมื่นบาท เป็น 1.219 ล้านบาท
ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง เป็นระบบความปลอดภัยแบบ “แอกทีฟเซฟตี้” ใช้สมองกลอิเล็กทรอนิกส์ คิดคำนวณและตัดสินใจแทนเรา หากประเมินว่าคนขับเผลอไผลและมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ด้วยการนำเข้าข้อมูลมาจากกล้องและเรดาร์ เซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนถนน โดยระบบที่ใส่มาในซีวิค ใหม่ ประกอบด้วย 1.เตือนการชนรถและคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก 2.ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วตํ่า
3.ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง 4.เตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทาง และ 5.ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติช่วยเพิ่มประสิทธิ ภาพการมองเห็นในที่มืด และสามารถปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้รบกวนรถที่สวนมาบนถนน
ถือเป็นระบบที่ดีครับ เข้าตำรา “มีแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี” โดยฮอนด้า เลือกใส่มาในซีวิค ตัวท็อป รุ่นย่อยเดียวก่อน แต่เชื่อว่าเดี๋ยวขายๆไปคงเพิ่มเข้ามาในรุ่นอื่นๆ
ส่วนการออกแบบรวมๆของโฉมไมเนอร์เชนจ์ อาจดูเปลี่ยนไปไม่มาก เช่น กระจังหน้า กันชนหน้า-หลัง เสาอากาศแบบครีบฉลาม ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว(เท่าเดิม) แต่เป็นสีรมดำ พร้อมตัวถังสีฟ้าใหม่ซึ่งเป็นสีโปรโมต (มีช่วงที่แข่งกัน“สีแดง”กับมาสด้า 3ด้วย)
ด้านสมรรถนะในภาพรวม ถือว่าสอดคล้องกับอารมณ์การตกแต่งภายนอก-ภายใน รุ่นนี้บุคลิกออกแนวสปอร์ตทั้ง พวงมาลัยนํ้าหนักหน่วงมือ ช่วงล่างที่เซตมาแข็งกว่าปกติ และด้วยแนวคิดการออกแบบโครงสร้างรวมๆแบบลู่ลม เพิ่มแรงกด พร้อมจุดศูนย์ถ่วงตํ่าๆ ยิ่งทำให้รถมีการทรงตัวดี รองรับการขับขี่ได้มั่นใจบนความเร็วสูง
เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.5 ลิตร เทอร์โบ 173 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.6 วินาที (ข้อมูลที่ฮอนด้าเปิดเผยตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก) แต่จะว่าไปเครื่องยนต์บล็อกนี้เมื่อประกบกับเกียร์ CVT การตอบสนองไม่ถึงกับจี๊ดจ๊าด หรือกระชากหลังติดเบาะขนาดนั้น เพราะหลักการยังต้องยึดเรื่องปล่อยไอเสียตํ่าและกินนํ้ามันน้อยเมื่อเทียบกับบล็อก 2.0 ลิตรเดิม ซึ่งอัตราบริโภคนํ้ามันเฉลี่ยจากการขับจริง ผมเห็นตัวเลขแสดงอยู่ประมาณ 14-15 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ…ว่าที่แชมป์ยอดขายรถยนต์นั่งในกลุ่มคอมแพ็กต์ 4 ปีซ้อน ถือเป็นโกล บัลโมเดลสุดร้อนแรงและฝากความหวังได้ ในช่วงที่ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย กำลังปรับไลน์อัพกลุ่มเก๋งเล็กให้สอดคล้องกับแผนการลงทุน รองรับเทคโนโลยีและโครงสร้างภาษี ซึ่ง “ซีวิค” ชื่อนี้มีพลังมาก สาวกเพียบ ตัวท็อป RS 1.219 ล้านบาท เพิ่มความฉลาดและออพชันความปลอดภัย ราคาสูงกว่ารุ่นเริ่มต้น 1.5 เทอร์โบ 1.15 แสนบาท ถ้ามั่นใจว่าจ่ายไหวก็ไม่ต้องลังเลที่จะจับจอง
โดย : กรกิต กสิคุณ
หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,471 วันที่ 19 - 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
